สัตว์อสูรน้อยตัวนั้นจะต้องไม่ธรรมดา ถึงทำให้กองทัพดินแดนใต้พิภพเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
แต่ทำไมไม่มุ่งเป้าหมายไปที่สัตว์อสูรน้อยตัวนั้นโดยตรงเลยล่ะ?
คำตอบนั้นง่ายมาก หากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตระหนักว่าเป้าหมายของพวกเขาคือสัตว์อสูรตัวนั้นและรู้ว่ามันไม่ธรรมดา สงครามครั้งนี้ก็จะเกิดการสูญเสียมากยิ่งขึ้นไปอีก
หลิงฮันอดสงสัยไม่ได้ สัตว์อสูรตัวน้อยนั้นสำคัญขนาดไหนกันถึงทำให้ดินแดนใต้พิภพยอมสูญเสียมหาศาลเพื่อให้ได้มันมา
แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงแค่การคาดเดาของเขา แต่เขาก็ค่อยข้างมั่นใจทีเดียวว่านี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของดินแดนใต้พิภพ ส่วนเรื่องข่าวลือพวกสมบัติหรือลักพาตัวผู้หญิงนั้นไม่ได้เป็นความจริง
แต่ใครจะเชื่อคำพูดของเขา?
สัตว์อสูรตัวเล็กระดับภูผาวารีเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่?
เหลวไหล!
หลิงฮันอยากนำเรื่องนี้ไปบอกให้ธิดาซื่อเย่วทราบ แต่คิดไปคิดมานางก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
ตามความคิดเห็นของเขา ถ้าส่งสัตว์อสูรตัวน้อยกลับไปที่ดินแดนใต้พิภพ พวกมันก็น่าจะล่าถอย แล้วถ้าธิดาซื่อเย่วเชื่อคำพูดของเขา แล้วถ้านางใช้สัตว์อสูรตัวน้อยข่มขู่กองทัพดินแดนใต้พิภพล่ะ?
มันอาจทำให้สงครามทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น!
หลิงฮันตัดสินใจจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองและตามหาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเพื่อส่งสัตว์อสูรตัวน้อยกลับไปที่ดินแดนใต้พิภพเพื่อยุติสงคราม มิฉะนั้นจะมีการสูญเสียมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากการสูญเสียเกือบทั้งกองทัพของหลิงฮัน ทำให้ค่ายทหารที่เขาอยู่ไม่มีอะไรทำและตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ถูกย้ายให้ไปเข้าร่วมกับกองทัพอื่น ทำให้พวกเขามีอิสระมาก จึงทำให้หลิงฮันออกจากค่ายทหารที่เขาอยู่ได้อย่างง่ายดายและไปที่ค่ายกองทัพจันทราม่วง
แต่เขาไม่สามารถเข้าไปในค่ายกองทัพจันทราม่วงได้ กฎของที่นี่เข้มงวดมาก ถึงแม้ว่าหลิงฮันจะมีแผ่นป้ายที่ได้รับมาจากธิดาซื่อเย่ว แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงทำสงคราม
แต่โชคดีที่ตอนนี้หลิงฮันค่อนข้างคุ้นเคยกับกองทัพจันทราม่วง เมื่อเขาพบเจอหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง เขาก็ขอให้พวกนางไปแจ้งสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะว่าเขามาหา แล้วหลังจากนั้นไม่นานสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะก็ปรากฏตัว
นางกำลังกอดสัตว์อสูรตัวน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หลิงฮันแปลกใจ ที่เขาแปลกใจคือมันไม่มีกลิ่นอายชั่วร้ายจากสัตว์อสูรตัวน้อยนี้เลย ราวกับว่ามันเป็นสัตว์อสูรที่ถือกำเนิดขึ้นบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่แรก
ถ้าก่อนหน้านี้หลิงฮันไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขาคงไม่สงสัยว่าสัตว์อสูรน้อยตัวนี้มาจากดินแดนใต้พิภพ
และนี่ทำให้หลิงฮันคิดว่าการคาดเดาของเขามีความถูกต้องมากยิ่งขึ้น สัตว์อสูรน้อยตัวนี้ไม่ธรรมดา!
“เจ้ามาหาข้ามีอะไรอย่างนั้นรึ?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะถาม
หลิงฮันพยักหน้า แล้วบอกความคิดเห็นของเขาให้นางฟัง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะก็รู้สึกตกใจและคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่นางก็ไม่ได้พูดแย้งอะไรหลิงฮันโดยตรง เพียงแค่พูดว่า “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“ข้าค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียว” หลิงฮันพยักหน้า
“นำทาง!”
เห็นได้ชัดว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเชื่อในคำพูดของหลิงฮันมาก ในเมื่อหลิงฮันมั่นใจ นางก็เลือกที่จะเชื่อหลิงฮัน
ทั้งสองคนออกจากค่ายทหารและมุ่งหน้าไปที่ส่วนลึกของสนามรบสองดินแดน โดยผ่านแนวป้องกันของดินแดนใต้พิภพไป เพราะอย่างไรก็ตามสนามรบสองดินแดนนั้นใหญ่เกินกว่าที่ดินแดนใต้พิภพจะปิดล้อมได้อย่างสมบูรณ์
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสามารถออกจากค่ายทหารได้ภายในเวลาที่กำหนด หากไปนานเกินไปนางจะถูกมองว่าเป็นทหารหนีทัพ
“เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะพาเจ้าตัวน้อยนี่ไปที่ดินแดนใต้พิภพเอง” หลิงฮันกล่าว
สีหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ในสายตาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนใต้พิภพคือสถานที่ที่อันตรายที่สุด มันเต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้าย และถึงแม้หลิงฮันจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ แต่อย่างไรก็ตามเขายังเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลางเท่านั้น
ไปที่ดินแดนใต้พิภพมันจะอันตรายแค่ไหน?
“ไม่ต้องกังวล เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้ายังมีหอคอยทมิฬ?” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน แต่ท้ายที่สุดนางก็ส่งสัตว์อสูรตัวน้อยให้กับหลิงฮัน ซึ่งทำให้มันส่งเสียงร้องโวยวาย ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ามันไม่อยากจะพลัดพรากจากสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะหรือกลัวถูกหลิงฮันฆ่าตายกันแน่
หลิงฮันไม่อาจปล่อยให้เจ้าสัตว์อสูรตัวน้อยส่งเสียงร้องได้ หลังจากที่คว้าตัวมันมา เขาก็รีบมุ่งหน้าไปที่ดินแดนใต้พิภพทันที
ตอนนี้ทั้งสองฝั่งกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ที่แนวหน้า ดังนั้นพื้นที่แถบนี้จึงไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ทำให้หลิงฮันสามารถเข้าไปในใจกลางของสนามรบสองดินแดนได้อย่างง่ายดาย และอำนาจแห่งกฎเกณฑ์โดยรอบก็เริ่มวุ่นวายมากยิ่งขึ้น
เพราะที่นี่คือจุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพ
หลิงฮันเดินอย่างมั่นคง ที่นี่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ปะทะกันหนักหน่วงที่สุด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่นี่ และทำได้แค่พึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้น
เมื่อเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ก็ปรากฏอีกครั้งและกลายเป็นสภาพแวดล้อมใหม่ที่ไม่ใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
นี่คือการเปลี่ยนแปลงของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์
หลิงฮันเคลื่อนไหวและปลดปล่อยกลิ่นอายจ้าวอสูรออกมาปกคลุมร่างกาย ตอนนี้หากมีใครเห็นเขาก็คงคิดว่าเขาเป็นจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพ
กลิ่นอายของสัตว์อสูรตัวน้อยเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน กลิ่นอายของมันเริ่มกลมกลืนกับดินแดนใต้พิภพ เหมือนกับว่ามันมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม
ความสามารถของมันทำให้หลิงฮันประหลาดใจ มันเป็นตัวอะไรกันแน่? ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!
“จู! จู!” สัตว์อสูรตัวน้อยแกว่งกรงเล็บใส่หน้าหลิงฮัน เหมือนกับมันพยายามดิ้นรนเพื่อกลับไปหาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ
“ฮ่าฮ่าฮ่า นางเป็นภรรยาของข้า!” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
พรึบ!
ทันใดนั้นเองก็มีใครบางคนปรากฏตัวกะทันหัน กระทั่งหลิงฮันก็ยังไม่รู้ว่าเขาปรากฏตัวมาจากที่ไหน ราวกับว่าอีกฝ่ายอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่หลิงฮันแค่หาอีกฝ่ายไม่พบ
มันเป็นชายรูปร่างผอมสูง กล้ามเหนือของเขาแน่นราวกับก้อนหิน และมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้ห้วงอากาศเกิดรอยแยกแล้ว
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก ในที่สุดก็หานายน้อยพบ!” ชายร่างสูงหัวเราะและเผยรอยยิ้มปิติยินดี จากนั้นเขาก็เอื้อมมือเพื่อคว้าร่างของสัตว์อสูรตัวน้อย แล้วพยักหน้าให้กับหลิงฮันพร้อมกับพูดว่า “เจ้าทำได้ดีมาก ข้าจะพานายน้อยกลับไปก่อน และจะมอบรางวัลให้กับเจ้าทีหลัง – และนี่คือเหรียญตราที่สามารถทำให้เจ้าเข้าสู่วังปีศาจแห่งความโกลาหลได้เพื่อรับรางวัล”
เขาโยนเหรียญตราสีเงินให้กับหลิงฮัน จากนั้นเขาก็หายไปในพริบตา
หลิงฮันรู้สึกโล่งอก เขาแทบจะหายใจไม่ออกเมื่อตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของอีกฝ่าย
จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์!
และแน่นอนว่าเป้าหมายที่แท้จริงของดินแดนใต้พิภพคือสัตว์อสูรน้อยตัวนั้น กระทั่งจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ยังเรียกมันว่า ‘นายน้อย’ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมดินแดนใต้พิภพถึงก่อสงคราม สัตว์อสูรน้อยตัวนั้นจะต้องมีความสำคัญมากอย่างคาดไม่ถึง