กองทัพดินแดนใต้พิภพล่าถอยไปแล้ว
เช่นเดียวกับตอนที่สงครามปะทุขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุและจบลงอย่างกะทันหัน
แต่เมื่อสงครามจบลงแล้ว แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีความสุข พวกเขาจะสนเรื่องพวกนั้นไปทำไม?
เมื่อหลิงฮันกลับมา เขาก็เห็นกองกำลังหนึ่งของดินแดนใต้พิภพกำลังล่าถอยกลับไปที่ดินแดนใต้พิภพ และเป็นเพราะกลิ่นอายจ้าวอสูรที่ปกคลุมร่างกาย จึงทำให้พวกมันคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาไม่ได้เดินหลบและมุ่งไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ สนามรบสองดินแดนยังคงเป็นสถานที่ฝึกฝนและแสวงหาศิลาวิญญาณปฐพี
เกรงว่าแม้กระทั่งทหารส่วนใหญ่ของดินแดนใต้พิภพก็ยังไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อสงคราม มิฉะนั้นทั้งที่กองทัพดินแดนใต้พิภพมีจำนวนมากมหาศาลขนาดนั้น แต่ความลับก็ยังไม่ถูกเปิดเผย คนที่เหตุผลคงมีเพียงแค่ตัวตนระดับสูงของดินแดนใต้พิภพเท่านั้น
หลิงฮันยังคงครุ่นคิดถึงตอนที่กองทัพดินแดนใต้พิภพเพิ่งจะเริ่มบุกเข้ามา ถ้าชายชุดขาวคนนั้นถามเขาว่าเห็นสัตว์อสูรตัวเล็กๆบ้างไหม สงครามครั้งนี้ก็คงไม่เกิดและคงไม่มีผู้คนที่ต้องตกตายมากขนาดนี้
เมื่อเขากลับไปที่ค่ายทหาร เขาก็เห็นทุกคนกำลังฉลองชัยชนะครั้งนี้
สงครามไร้ซึ่งความปราณี แน่นอนว่าคนที่ตายคือคนที่อ่อนแอ แต่เมื่ออยู่ในสนามรบชีวิตของทุกคนก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา ก่อนเริ่มสงครามทุกคนจะเขียนพินัยกรรมของตัวเอง ถ้าพวกเขาตายไปสนามรบ อย่างน้อยก็ยังมีอะไรส่งกลับไปที่บ้านเกิดของพวกเขาบ้าง
เมื่อสงคราบจบลง ทุกคนก็สามารถทำตัวผ่อนคลายได้
แต่กองทัพของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ถอนกำลังและตรึงกำลังเอาไว้ เพราะพวกเขายังไม่แน่ใจว่าดินแดนใต้พิภพยุติสงครามจริงหรือไม่
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสัตว์อสูรน้อยตัวนั้นตัวเดียว และถึงแม้หลิงฮันจะบอกความจริงให้คนอื่นรู้ ก็คงไม่มีใครเชื่อเขา – นอกจากสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ
เนื่องจากการถอนกำลังของกองทัพดินแดนใต้พิภพเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทุกคนจึงคิดว่ากองทัพดินแดนใต้พิภพเจอสมบัติที่กำลังตามหาอยู่แล้วเลยถอนกำลังจากไป
แต่ก็ยังมีคนพูดแย้งและต้องการตอบโต้ดินแดนใต้พิภพเพื่อนำสมบติล้ำค่ากลับมา
แม้จะมีคนโลภหลายคน แต่ก็มีผู้สนับสนุนพวกเขาไม่กี่คน
หากต้องการเข้าสู่ดินแดนใต้พิภพ อย่างแรกเลยคือต้องสู้กับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพก่อน และยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ พลังต่อสู้ก็จะลดลง มันอันตรายเกินไป!
ยิ่งไปกว่านั้น หน้าที่ของพวกเขาทุกคนคือต่อต้านการรุกรานของดินแดนใต้พิภพ อย่างไรเสีย เมื่อพลังอำนาจของดาวหยุนติ่งสูงขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะกินอาณาเขตดินแดนใต้พิภพเรื่อยๆ
ดังนั้น การโต้กลับจึงเป็นเพียงแค่คำพูด และคนส่วนใหญ่ยังคิดว่าระดับจอมยุทธของดาวหยุนติ่งยังไม่เพียงพอที่จะบดขยี้ดินแดนใต้พิภพได้ มันเป็นเพียงแค่การพาตัวเองไปตายต่างถิ่น
สิบวันต่อมา กองทัพจันทราม่วง กองทัพเวหาแหวกว่าย กองทัพบัญญัตินิพพาน กลับไปยังฐานทัพของตัวเอง และกองกำลังทหารผสมก็ถูกยุบ ส่วนทหารกองหนุนก็ถูกส่งกลับไป ในที่สุดสงครามระหว่างสองดินแดนก็จบลง
จากนี้เป็นต้นไป ผู้คนบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงไม่เข้าใจเหตุผลอยู่ดี ว่าทำไมดินแดนใต้พิภพถึงก่อสงคราม ทำให้ทหารของทั้งสองฝ่ายจำนวนมากต้องตายไปอย่างไร้ค่า
และมีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นว่าทำไมถึงเกิดสงครามขึ้น บางทีมันอาจเป็นเพราะความขี้เล่นของสัตว์อสูรตัวนั้น และมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยบังเอิญ ถ้ามันไม่พบกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ แต่เจอกับหลิงฮันแทนล่ะก็…เขาอาจฆ่ามันไปทำอาหารไปแล้ว
หากเขาทำแบบนั้นไปจริง ดินแดนใต้พิภพจะต้องบ้าคลั่งอย่างแน่นอน และคงไม่แปลกที่ดาวหยุนติ่งจะถูกทำลายทั้งดวงดาว
เมื่อคิดเช่นนั้น หลิงฮันก็ถึงกับปาดเหงื่อ
ในฐานะที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเป็นทหาร นางจึงไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก และเหลือเวลาอีกแค่สองปีเท่านั้นก็จะถึงการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่รีบจากไปจากที่นี่และยังคงออกตะเวนค้นหาศิลาวิญญาณปฐพีในสนามรบสองดินแดนต่อ
อย่างไรก็ตาม จอมยุทธจากห้านิกายโบราณก็กลับมาตามล่าเขาอีกครั้ง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สงครามระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพทำให้เกิดความสูญเสียมหาศาล ทำให้ห้านิกายโบราณได้รับพบกระทบมากที่สุด เพราะเมื่อเกิดสงครามพวกเขาก็ต้องส่งจอมยุทธรดับสุริยันจันทราเกือบทั้งหมดเข้าร่วมสงคราม
เมื่อจำนวนคนที่ถูกมาเพิ่มขึ้น จำนวนคนตายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
แต่หลิงฮันจะไม่สังหารอีกฝ่ายก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายยังคงตามล่าเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
เดิมทีห้านิกายกายโฐราณมีจอมยุทธระดับสุริยันจันทราเกือบสองพันคน แต่ตอนนี้เหลือแค่พันกว่าคนเท่านั้น พวกเขาส่วนใหญ่ตายไปเพราะสงครามครั้งก่อนและถูกหลิงฮันฆ่าตายไปจำนวนหนึ่ง
แล้วตอนนี้ห้านิกายโบราณได้ส่งปรมาจารย์มาหลายคน ซึ่งแต่ละคนต่างก็เป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดหรือแม้กระทั่งเป็นอัจฉริยะมากกว่าสองดาว ถึงจะมีอัจฉริยะไม่มาก แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้หลิงฮันเติบโตไปได้มากกว่านี้
เมื่อถูกตามล่า หลิงฮันก็เข้าไปแอบในหอคอยทมิฬอีกครั้ง
สามเดือนต่อมา หลิงฮันก็สามารถขัดเกลากายหยาบด้วยเพลิงนิรันดร์ได้อีกครั้ง
หลิงฮันกลั้นลมหายใจและกระโดดเข้าไปในเปลวเพลิง สามวันต่อมา คราวนี้ร่างกายของเขาเหมือนเป็นเด็กประมาณหนึ่งปี
“ก้าวหน้าเร็วมากมาก!” หอคอยน้อยกล่าวชมเชย ซึ่งหาได้ยากมากที่มันจะพูดดีแบบนี้
หลิงฮันยิ้ม เขากระหายความแข็งแกร่ง ด้วยแรงกดดันดังกล่าวมันทำให้เขาทำความเข้าใจเทคนิคคัมภีร์สวรรค์ได้เร็วมากยิ่งขึ้น และทำให้เขามีความก้าวหน้ากระบวนการเกิดใหม่จากเถ้าถ่าน
เขาหยิบเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งออกมาและเริ่มฝึกฝนใต้ต้นสังสารวัฎ
ครั้งนี้ เขาไม่มีแผนที่จะออกไปข้างนอกหอคอยทมิฬ ยังไงก็ตามห้านิกายโบราณก็ยังคงตามล่าเขาอยู่ ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อที่จะสามารถต่อกรกับปรมาจารย์ของห้านิกายโบราณได้
สามวันต่อมา หลังจากที่ดูดซับเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งเสร็จ หลิงฮันก็ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นกลางชั้นสูง
หลังจากสะสมพลังมาเป็นเวลาหลายปี เขาก็อยากจะทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราขั้นสูง
ใต้ต้นสังสารวัฎ เวลาหนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปี หลิงฮันฝึกฝนไปแล้วสี่สิบสามวัน เขาสะสัมพลังได้มากพอที่จะออกไปรับทัณฑ์สวรรค์ด้านนอกหอคอยทมิฬแล้ว
เปรี๊ยง!
หลิงฮันยกมือขวาขึ้นและเกิดเสียงฟ้าร้องที่น่าสะพรึงกลัว อักขระศักดิ์สิทธิ์บนฝ่ามือของเขากำลังส่องแสงสว่าง มันดูคล้ายกับลวดลายสายฟ้า แต่ถ้ามองให้จะเป็นอักขระหลายร้อยล้านล้านตัว
นี่คือเจตจำนงแห่งเต๋าที่ได้มาจากการสังเกตการณ์ทัณฑ์สวรรค์และก่อเป็นอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงแค่หลิงฮันเท่านั้นที่สามารถทำความเข้าใจมันได้ เพราะนี่คือความเข้าใจของเขาเอง
แม้แต่ตัวตนระดับเซียนก็ไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้ มันเป็นของหลิงฮันเพียงคนเดียวเท่านั้น