เมื่อเหล่าอัจฉริยะปรากฏตัว ปรมาจารย์ที่แท้จริงจากทั้งสองดินแดนเองก็ตามพวกเขามาเช่นกันเพียงแต่ว่าปรมาจารย์เหล่านั้นเลือกที่จะไม่แสดงตัว
ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองดินแดนนั้นฝ่ายใดจะใช้โอกาสนี้ในการสังหารรุ่นเยาว์ระดับราชาของดินแดนตนเอง ดังนั้นสุดยอดปรมาจารย์ของทั้งสองดินแดนจึงเคลื่อนไหว ยกตัวอย่างเช่นทางฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นักพรตกว่างฉิงได้หลบซ่อนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
เชื่อว่าทางดินแดนใต้พิภพเองก็คงมีปรมาจารย์ระดับเดียวกันหลบซ่อนตัวอยู่
ผ่านไปอีกสองสามวัน อู่เมี่ยนก็มาถึง
เขาทำตัวไม่โดดเด่นจึงไม่มีใครรับรู้ถุงตัวตนของเขา หลังจากตามหาหลิงฮันพบเขาได้นำสุราชั้นเลิศออกมาดื่มกันหลิงฮันโดยไม่สนสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์อยู่ในสายตา
ผ่านไปไม่นานกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และปฐพีที่โอบล้อมไปทั่วป่าภูผาวารีก็สลายหายไป ทุกคนรู้ว่านี่คือสัญญาณการเริ่มต้นของการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน
เหล่าคนที่ต้องการสลักชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์ต่างมุ่งหน้ามายังหุบเขาแห่งนี้
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น ตราบใดที่สามารถเดินผ่านอยู่ในหุบเขาที่ไร้กฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และปฐพีได้ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว
ซึ่งคนที่ทำเช่นนั้นได้… มีน้อยนิดมาก!
หลายคนล่าถอยกลับไปทั้งๆที่เพิ่งเดินอยู่ในหุบเขาได้เพียงหนึ่งในสิบ บางคนฝทนเดินต่อไปได้ถึงสองในสิบ ทันทีที่พวกเขาล่าถอยออกไปไม่ว่าใครก็กระอักโลหิตออกมา
หุบเขาแห่งนี้คือเวทีของอัจฉริยะ จอมยุทธธรรมดาสามัญทำได้แค่เพียงจ้องมอง
หลิงฮันไม่เร่งรีบ เพราะอย่างไรการทดสอบอัจฉริยะนี้ก็มีระยะเวลาถึงครึ่งเดือน
หยางหลินเป็นราชาคนแรกที่เข้าไปยังหุบเขา
เขาเดินผ่านเข้าในยังส่วนลึกของหุบเขาได้อย่างไม่ยากเย็น ผู้ติดตามทั้งสี่ของเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน แม้พวกเขาจะต้องใช้ความพยายามอยู่บ้างแต่ก็สามารถผ่านเข้าไปในหุบเขาได้
เรื่องนี้ทำให้หลายคนอึ้งจนพูดไม่ออก หยางหลินไม่เพียงทรงพลังแค่คนเดียว แต่ขนาดผู้ติดตามของเขาก็ยังน่าทึ่งไม่แพ้กัน
หลังจากนั้นแม่นางหยุนเองเดินเข้าไปยังหุบเขาด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ในขณะเดียวกัน ซั่วเฉียนค่อนเดินตามนางไปด้วยความลำบากเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าในหุบเขานี้ต่อให้เป็นระดับพลังใดก็ไม่มีความหมาย ประเด็นสำคัญคือแต่ละคนขัดเกลาพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีจนสมบูรณ์ขนาดไหน
ซั่วเฉียนเป็นตัวตนระดับดาราก็จริง แต่ปัญหาก็คือก่อนหน้านี้เขาขัดเกลาพลังจนบรรลุขั้นสมบูรณ์รึเปล่า ต่อให้เข้าบรรลุขั้นสมบูรณ์จริงก็เป็นไปได้ว่าเขาคงจะบรรลุเพียงขั้นสมบูรณ์ชั้นต้น ไม่เช่นนั้นรากฐานเขาคงไม่ด้อยไปกว่าแม่นางหยุน
แน่นอนว่าดินแดนใต้พิภพก็ส่งอัจฉริยะระดับราชามาเช่นกัน หลิงฮันพบเห็นชายคนหนึ่งที่บนหัวมีดวงตะวันลอยอยู่ คนคนนั้นปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมา บางคนแค่มองไปยังชายคนนั้นก็แทบจะกระอักโลหิตออกมา
หลิงฮันมองไปยังอู่เมี่ยน ถึงแม้อีกฝ่ายจะปิดบังใบหน้าเอาไว้มิดจนมองไม่เห็น แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ว่าโลหิตของอีกฝ่ายกำลังเร่าร้อน
“ชายคนนั้นไม่เพียงก้าวสู่ระดับดาราแล้ว แต่ระดับพลังก่อนหน้ายังขัดเกลาจนบรรลุขั้นสมบูรณ์อีกด้วย หากสู้ด้วยระดับพลังเท่ากันนับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม!” อู่เมี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ฉื้อหวงจี่่!”
“ฉื้อหวงจี่่”
“ฉื้อหวงจี่่!”
เหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพส่งเสียงตะโกนชื่อของชายคนนั้น
หลิงฮันไม่ประหลาดใจอะไร ชายคนนั้นเองรึที่ชื่อฉื้อหวงจี่่?
ใต้ดวงตะวันบนฟ้าจะมีรุ่นเยาว์ระดับดาราสักกี่คนเชียว?
ในด้านของความทรงพลังของกลิ่นอาย หลิงฮันรู้สึกว่าไม่ว่าจะแม่นางหยุน หยางหลินหรืออู่เมี่ยนก็ไม่สามารถทัดเทียบกับฉื้อหวงจี่่ ทุกคนเป็นราชาก็จริง แต่ฉื้อหวงจี่่คือราชาในหมู่ราชา
‘ครืนนนน’ ท้องฟ้าเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่จากระยะที่ห่างไกลออกไปราวกับกองทัพนับพันกำลังบุกรุกเข้ามา ทุกคนโดยรอบตื่นตัวกันทันที
สงครามระหว่างสองดินแดนเพิ่งสิ้นสุดไปสองปี ทุกคนหวาดกลัวอย่างมากว่าจะเกินสงครามที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นกลับไม่ใช่กองทัพแต่เป็นเพียงรถม้า!
แค่รถม้าจะสามารถเคลื่อนไหวดุดันราวกับกองทัพนับพันเลยรึอย่างไร? น่าทึ่ง! ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือรถม้ามีขนาดเล็กมาก ขนาดของมันนั้นราวๆฝ่ามือเท่านั้น ตัวรถนั้นเป็นสีม่วงลายกระทิงทองคำ หากมองให้ดีจะพบว่าส่วนของลวดลายกระทิงนั้นถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะ
ทันทีที่รถม้าหยุด ชั้นมิติก็พังทลาย กฎแห่งเต๋าราวกับถูกบีบรัดจนเกิดช่องว่างมิติ
น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก มันคือรถม้าอะไรกันแน่?
“นะ นั่นมันโลหะหยดเลือดนกอมตะ!”
ชายชราคนหนึ่งกล่าวเดียวน้ำเสียงสั่นสะท้าน พลังบ่มเพาะของเขาไม่สูงมากนัก แต่ดูแล้วเป็นชายชราที่ทรงภูมิ
“อะไรคือโลหะหยดเลือดนกอมตะ?” หลายคนถามด้วยความสงสัย
“วัตถุดิบเซียน!” ชายชราทรงภูมิกล่าวออกมา ทุกคนที่ได้ยินต่างตกตะลึง
วัตถุดิบเซียน… มันคือแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเจ็ดเป็นอย่างน้อยซึ่งมีไว้สำหรับหลอมอาวุธเซียน
วัตถุดิบนั้นไม่สำคัญว่าจะเป็นโลหะ หิน หรือไม้
“ลวดลายกระทิงทองคำนั่นถูกสร้างขึ้นจากโลหะหยดเลือดนกอมตะ” ร่างของชายชราทรงภูมิสั่นเครือ คำพูดของเขาแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงแห่งความตื่นเต้น “ห้องของของรถม้าที่สร้างจากไม้นั่นก็ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากวัตถุดิบเซียนเช่นกัน!”
“ในชีวิตนี้ได้เห็นวัตถุดิบเซียนด้วยตาตัวเอง… ข้าสามารถตายโดยไม่มีอะไรจะเสียใจแล้ว!”
ไม่ใช่วัตถุดิบเซียนเพียงชนิดเดียว แต่มีถึงสอง?
ทุกคนตะลึงจนอ้าปากค้าง ใครกันที่นั่งอยู่บนรถม้านั่น? พื้นเพของเขาต้องน่าสะพรึงกลัวมากแน่นอน
รถม้าหยุดวิ่งเมื่อมาถึงหน้าทางเข้าหุบเขา แม้กฎแห่งสวรรค์และปฐพีจะสลายไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะหายไป หากเข้าไปด้านในก็ต้องถูกลดระดับพลังบ่มเพาะ แม้จะเป็นตัวตนระดับเซียนก็ไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ใช่แค่ทางฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตะลึง แม้แต่ฝั่งดินแดนใต้พิภพก็จ้องมองไม่วางตา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมตระหนักถึงรถม้าที่สร้างจากวัตถุดิบเซียนถึงสองชนิดเช่นกัน
ประตูรถม้าเปิดออก ท่ามกลางสายตาของสาธารณะชนได้มีคนตัวเล็กกระโดดออกมาจากด้านใน
เป็นคนตัวเล็กจริงๆ ขนาดตัวของเขาคือสามนิ้วเท่านั้น คนตัวเล็กผู้นี้สวมชุดคลุมม่วงขลิบทอง ร่างของเขาปลดปล่อยกลิ่นอายราวกับสวรรค์เบื้องบน
“ชุกคลุมนั่นก็สร้างจากโลหะหยดเลือดนกอมตะ”
“พระเจ้าช่วย สามารถเปลี่ยนวัตถุดิบเซียนให้กลายเป็นเส้นไหมและทอเป็นชุดได้เช่นนี้ ต้องใช้วิธีการแบบใดกัน!”
ทุกคนสั่นสะท้าน สิ่งที่เห็นตรงหน้ามันน่าทึ่งเกินไปจนเหนือความเข้าใจของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
ร่างของชายตัวเล็กสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆขยายร่างกลับสู่ขนาดของคนปกติ เขาเป็นบุรุษหล่อเหลาที่ผิวงามดั่งหยก นี่ไม่ใช่การเปรียบเทียบ แต่ผิวทั่วร่างของเขาเหมือนกับเป็นหยกจริงๆ
“เป่ยหวง เจ้ายังมาไม่ถึงอีกรึ?” ชายคนนั้นแหงนหน้าและตะโกนขึ้นบนท้องฟ้า