ราชาในหมู่ราชาทั้งสามนำชิงแท่นไปก่อน ซึ่งทำให้ราชาคนอื่นตัดสินกันได้ง่ายขึ้นตราบใดที่หลีกเลี่ยงทั้งสามคน
“น้องหลิง ข้าขอนำไปก่อน” อู่เมี่ยนกล่าวและกระโดดไปยังแท่น
แท่นของราชามีทั้งหมดเก้าตำแหน่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดการปะทะของเหล่าอัจฉริยะขึ้นแน่ๆ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการหลีกเลี่ยง เพราะงั้นพวกเขาจึงรีบครอบครองแท่นยืนเสียแต่เนิ่นๆ เมื่อแสดงพลังของตนเองให้เห็น อัจฉริยะคนอื่นจะได้ไม่กล้ามาท้าประลองพวกเขา
ในขณะเดียวกัน หากลงมือช้าก็หนีไม่พ้นการปะทะกับราชาที่เลือกแท่นก่อน
แน่นอนว่าการลงมือช้าก็มีประโยชน์เช่นกัน พวกเขาสามารถเลือกคู่ต่อสู้ที่เหมาะสม หรืออาจจะร่วมมือกันจัดการราชาที่ครองแท่นได้ เพียงแต่ว่าวิธีการเช่นนี้นั้นช่างน่ารังเกียจ
หลิงฮันไม่เร่งรีบและเลือกดูสถานการณ์ไปก่อน
ตอนนี้แท่นราชาทั้งเก้าได้ถูกครอบครองเรียบร้อย
ฝั่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือเป่ยหวง ฉือหวง อู่เมี่ยน หยางหลิน แม่นางหยุน ในด้านฝั่งดินแดนใต้พิภพคือ ฉื้อหวงจี่่ ถัวป้าตง ถังเก่อและอ้าวซื่อหยิน
ไม่มีกฎว่าการแย่งแท่นราชาจะต้องเป็นการปะทะหนึ่งต่อหนึ่ง หลังจากบรรยากาศนิ่งเงียบอยู่นาน อัจฉริยะหลายสิบคนก็เริ่มท้าประลอง ถัวป้าตง ถังเก่อและอ้าวซื่อหยิน
ในด้านของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นอกจากเป่ยหวงกับฉือหวงแล้ว ราชาอีกสามคนก็ถูกอัจฉริยะใต้พิภพรุมท้าประลองเช่นกัน
ทุกคนมีโอกาสแพ้ได้เพียงสามครั้ง ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาทำให้ราชาที่ครองแท่นพ่ายแพ้ได้สามครั้ง ราชาคนนั้นก็จะหมดสิทธิ์ไปโดยปริยายและใครที่โชคดีในหมู่พวกเขาก็จะได้ครองแท่นราชาแทน
แต่อัจฉริยะระดับราชาคืออะไร?
ไร้เทียมทานในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกันถึงจะมีคุณสมบัติถูกเรียกว่าราชา หากราชาทั้งเก้าขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แล้วล่ะก็ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้จำนวนมากขสู้กับพวกเขา
อู่เมี่ยน หยางหลิน ถัวป้าตงและคนอื่นๆแสดงอำนาจไร้เทียมทานออกมา เหล่าอัจฉริยะที่รุมท้าพวกเขาถูกส่งลงจากแท่นราชาเรียงคน
อัจฉริยะเหล่านั้นใบหน้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
ก่อนหน้าที่จะพบราชาเหล่านี้ พวกเขาเป็นฝ่ายอยู่เหนือผู้อื่นมาโดนตลอด พวกเขาไม่มีใครทัดเทียมในหมู่คนรุ่นเดียวกัน แม้แต่ปรมาจารย์ในรุ่นก่อนก็ยังถูกพวกเขาเหยียบย่ำ แต่หลังมาที่นี่กลับกายเป็นว่าพวกเขาต้องพบเจอกับชะตากรรมนั้นแทน
ทุกคนมีพลังระดับภูผาวารีเท่ากัน แต่พวกเขาไม่ได้ขัดเกลาพลังให้บรรลุขั้นสมบูรณ์ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!
แต่ความผิดหวังไม่ได้ทำให้เหล่าอัจฉริยะสิ้นหวัง พวกเขาเกิดความมุ่งมั่นที่จะขัดเกลาระดับพลังปัจจุบันให้บรรลุขั้นสมบูรณ์
ผ่านไปสักพักในที่สุดเย่วหยิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ลงมือท้าประลองอ้าวซื่อหยินแห่งดินแดนใต้พิภพ
เย่วหยิงนั้นเป็นดั่งดวงจันทร์ที่เชิดฉาย นางนั้นงดงามและมีเสน่ห์ นางทีสวมกระโปรงยาวอยู่ ทุกการก้าวเดินของนางทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับถูกดึงดูด
อ้าวซื่อหยินนั้นเป็นตัวตนที่ไร้หัวใจ เขานำหอกยาวออกมาและกล่าว “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าจักรวรรดิราชวงศ์เมฆาครามมีทักษะยุทธที่ยอดเยี่ยมแต่ไม่เคยได้ลิ้มรสซักครั้ง วันนี้ในที่สุดก็มีโอกาสเสียที”
เย่วหยิงชักดาบออกมา ใบดาบในมือของนางส่องประกายราวกับแสงจันทร์ เมื่อผสานรวมกับชุดกระโปรงชาวของแล้วช่างดูงดงามอย่างน่าอัศจรรย์
“ตาย!” อ้าวซื่อหยินไม่รีรอและแทงดาบมังกรทมิฬในมือออกไปก่อให้เกิดเป็นเพลิงสีดำอันน่าสะพรึงกลัว อุณหภูมิรอบข้างเพิ่มสูงขึ้นในพริบตา เกรงว่าต่อให้เป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าก็ต้องถูกหลอมอย่างรวดเร็ว
เย่วหยิงกวัดแกว่งดาบยาว ‘พรึบ’ ออร่าอันเย็นยะเยือกถูกปลดปล่อยออกมา ทักษะบ่มเพาะของนางสมควรเป็นทักษะธาตุน้ำแข็งซึ่งสามารถยับยั้งเพลิงของอ้าวซื่อหยินได้พอดี
ทั้งสองปะทะห้ำหั่นกัน ทุกคนจ้องมองการต่อสู้อย่างไม่กระพริบตา แม้แต่ราชาอีกแปดคนที่ครองแท่นก็ไม่มีข้อยกเว้น
ฉือหวง เป่ยหวงและฉื้อหวงจี่่อาจจะมีพลังบ่มเพาะที่สูงกว่า แต่เนื่องจากถูกลดระดับพลังบ่มเพาะลงมาทำให้พวกเขาไม่กล้าดูถูกราชาคนอื่น เพราะอย่างไรในระดับภูผาวารีนั้น พลังต่อสู้ของทุกคนย่อมถูกจำกัดและไม่ต่างกันเท่าไหร่
หลิงฮันเองก็สนใจเช่นกัน เขาเคยปะทะกับอ้าวซื่อหยินมาก่อน พลังของอีกฝ่ายแข็งพอสมควร แต่อำนาจมังกรของอีกฝ่ายนั้นไร้ความหมายเมื่อพบเจอกับอำนาจสวรรค์ของเขา แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือหอกมังกรทมิฬ
เย่วหยิงนั้นไม่มีความได้เปรียบในสองด้านนี้ นางมีเพียงพลังบ่มเพาะที่ขัดเกลาจนบรรลุระดับราชา แต่ตัวของนางไม่มีอำนาจพิเศษเช่นอำนาจมังกร ดาบของนางแข็งแกร่งก็จริงแต่ตอนนี้มันถูกลดทอนระดับมาจะกลายเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่กว่าๆ
อ้าวซื่อหยินหัวเราะ เขากวัดแกว่งหอกยาวพร้อมกับโคจรอำนาจมังกร ทันใดนั้นด้านหลังของเขาได้มีเงาของมังกรทมิฬปรากฏออกมา
เย่วหยิงได้รับผลกระทบจากอำนาจมังกรจนพลังต่อสู้ลดลงทันที
“อัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็งั้นๆ!” อ้าวซื่อหยินกล่าวอย่างอวดดี หอกในมือของเขากวัดแกว่งอย่างรุนแรงราวกับมังกรทมิฬกำลังพิโรธ
เย่วหยิงแผดเสียงคำรามปลดปล่อยแสงเงาแห่งจันทราออกจากปาก แสงเงาที่ปล่อยออกมาเปลี่ยนสภาพเป็นดวงจันทร์ลอยอยู่บนหัวของนางพร้อมกับแพร่กระจายแสงจันทราอันเย็นยะเยือกและคอยคุ้มกันอำนาจมังกรของอ้าวซื่อหยิน
พลังต่อสู้ของนางกลับคืนเป็นปรกติ ดาบในมือของนางส่องประกายและเข้าปะทะกับหอกยาวของอ้าวซื่อหยิน
หลิงฮันพยักหน้า อัจฉริยะระดับราชาเช่นนางจะแพ้ง่ายๆได้อย่างไร ใครบ้างจะไม่มีไพ่ลับซ่อนเอาไว้?
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ส่ายหัวและกล่าว “ช่างข้าเถอะ ข้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะทัดเทียมกับคนเหล่านั้น ข้าตั้งใจจะลองพยายามแย่งแท่นราชาดู แต่ตอนนี้ข้าหมดกำลังใจแล้ว”
“พูดอะไรไร้สาระ!” หลิงฮันจับข้อมืออันบอบบางของนางเอาไว้และกระซิบ “เจ้าคือภรรยาของข้า ข้าบอกว่าเข้ามีคุณสมบัติยืนอยู่บนแท่นราชาเจ้าก็ต้องมี! ยิ่งกว่านั้นตำแหน่งราชาที่ข้าจะแย่งมาให้เจ้าก็คือแท่นของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ การกระทำของข้าถือว่านำพาเกียรติมาให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าพูดเหมือนกับว่าเจ้าครอบครองตำแหน่งถึงสองตำแหน่งแล้วงั้นล่ะ”
หลิงฮันยิ้ม “เจ้ากำลังดูถูกสามีของเจ้างั้นรึ?”
“เจ้าคนช่างพูด!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าวด้วยใบหน้ายั่วยวน
หลิงฮันรู้สึกถูกกระตุ้น แต่โชคร้ายที่เขาเพิ่งคืนสภาพให้ร่างกายได้แค่ห้าถึงหกปี เขายังไม่มีศักยะภาพพอที่จะจับกดนาง
‘เพี๊ยะ’ เขาตบต้นขาของนางด้วยความหมันไส้
“ทำอะไรของเจ้า?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ไม่เข้าใจถึงการกระทำของหลิงฮัน เหตุใดๆจู่ๆเขาถึงตบต้นขาของนางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ยุงกัดเจ้าน่ะ” หลิงฮันกัดฟันระงับอารมณ์ที่แผ่ซ่าน