เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เหตุใดทันทีที่เจ้าวาดหน้าตัวเอง พลังต่อสู้ถึงได้เพิ่มสูงขึ้นขนาดนี้?
“ข้านึกออกแล้ว!” จู่ๆหยางหลินก็พูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังอู่เมี่ยน “เจ้าคือเผ่าไร้หน้า!”
“เผ่าไร้หน้า หนึ่งในเผ่าสวรรค์บรรพกาล!” แม่นางหยุนอุทาน ใบหน้างดงามของนางแสดงออกถึงความตะลึง
เผ่าสวรรค์บรรพกาล!
สี่คำนี้เป็นตัวแทนถึงอำนาจพลังอันลึกลับ เผ่าพันธุ์ใดที่ถูกเรียกด้วยสี่คำนี้ล้วนแต่มีพลังอำนาจที่ทำให้เกิดพายุกระหน่ำ
เผ่าเก้าอสรพิษ เผ่าไร้หน้า… เผ่าสวรรค์บรรพกาลปรากฏออกมาให้เห็นถึงสองเผ่าแล้ว
“พี่ชายช่วยอธิบายได้รึไม่ว่าเผ่าไร้หน้าคืออะไร?” หลิงฮันถามด้วยลอยยิ้ม
อู่เมี่ยนยิ้มตอบและกล่าว “หลังจากนี้ให้ข้าจัดการเอง!” เขามองไปยังฉื้อหวงจี่่ ออร่าถูกปลดปล่อยออกมาราวกับคลื่นมหาสมุทร
“เผ่าไร้หน้านั้นไม่มีรูปลักษณ์มาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งนี่คือทักษะลับที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้เผ่าพันธุ์พัฒนาระดับพลังได้อย่างรวดเร็วและมีพลังต่อสู้ที่เหนือล้ำ”
“แต่ใช้ว่าศักยภาพของทุกคนในเผ่าจะเท่ากันเนื่องจากความเข้มข้นของสายเลือด พูดง่ายๆคือยิ่งใบหน้าขาวโพลนไร้ลักษณ์มากเท่าไหร่ ศักยะภาพก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย”
“ภายใต้ใบหน้าที่ไร้ลักษณ์ได้มีพลังที่ถูกสะสมเอาไว้เพื่อรอเวลาปะทุออกมา”
อู่เมี่ยนอธิบายอย่างเรียบง่าย
หรือก็คือยิ่งไม่มีอวัยวะบนใบหน้า สายเลือดก็ยิ่งเข้มข้นและสามารถระเบิดพลังออกมาได้รุนแรงยิ่งขึ้น
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมออร่าของอู่เมี่ยนในตอนนี้ถึงสามารถทัดเทียมได้กับฉื้อหวงจี่่และมีคุณสมบัติจะเป็นราชาในหมู่ราชาคนที่ห้า
“น่าสนุก!” หยางหลินหัวเราะ เขานำเม็ดยาบางอย่างออกมาและกลืนเข้าไป ทันใดนั้นออร่าของเขาก็ทะยานสูงเสียดฟ้าจนเทียบเท่าอู่เมี่ยนทันที เขายกร่มบรรพกาลขึ้นและกล่าว “อย่าได้ลืมว่าข้า หยางหลินผู้นี้ยังอยู่ตรงนี้!”
เขาคือชายที่เป็นลูกรักของสวรรค์ที่มีวาสนาครอบครองอาวุธเซียน ในหมู่ราชาในบ้างจะสามารถมีโชคทัดเทียมเขา?
“เม็ดยานั่นมันอะไรกัน เหตุใดถึงได้อัศจรยย์เพียงนี้?” ทุกคนประหลาดใจ เหล่าราชาในที่นี้ทุกคนต่างขัดเกลาระดับพลังบ่มเพาะจนบรรลุภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุดแล้ว การจะเพิ่มพลังต่อสู้ให้สูงขึ้นแม้น้อยนิดเป็นเรื่องยากมาก หากต้องการมีพลังต่อสู้ที่สูงขึ้นอีกจำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจที่นอกเหนือพลังบ่มเพาะ
ยกตัวอย่างเช่น หลิงฮันที่ฝึกฝนคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์และสามารถชี้นำทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์มาขัดเกลาเป็นพลังของตนเอง หรือไม่ก็อย่างอู่เมี่ยนที่มีสายเลือดอันเข้มข้นของเผ่าสวรรค์บรรพกาล
ถ้าเป็นขั้นพลังอื่นหากกินเม็ดยาก็อาจจะช่วยเพิ่มพลังต่อสู้สักสองดาวได้ แต่เมื่อขัดเกลาพลังจนบรรลุขั้นสมบูรณ์สูงสุดแล้ว ไม่ว่าเม็ดยาอะไรก็สมควรไม่สามารถช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ได้อีก
หยางหลินผู้โชคดีที่แม้แต่อาวุธเซียนยังยอมรับเขาเป็นเจ้านายนั้น เขาได้เก็บเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์โบราณได้โดยบังเอิญ โดยที่เม็ดยานี้สามารถยกระดับพลังต่อสู้ของเขาขึ้นได้อีกหนึ่งขั้น
แต่นั่นก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น
ฉื้อหวงจี่่หัวเราะและมองไปยังแม่นางหยุนกับถัวป้าตง “พวกเจ้ามีอะไรที่ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ได้รึไม่? ถ้ามีก็รีบๆใช้อย่าได้รีรอ!”
ทั้งแม่นางหยุนกับถัวป้าตงต่างยิ้มอย่างขมขื่น พวกเขาเป็นราชาที่ไร้เทียมทานในดวงดาวของตนเอง แม้แต่อัจฉริยะระดับหัวกะทิก็ไม่มีคุณสมบัติจะมายืนทัดเทียมพวกเขา แต่พอเป็นที่นี่ทั้งสองกลับทำได้เพียงกัดฟันยอมรับว่าตนเองอ่อนแอ
ทั้งสองไม่สามารถทำอะไรได้และยอมรับว่าตนเองด้อยกว่าเหล่าราชาในหมู่ราชาเล็กน้อย
ความต่างของพวกเขากับราชาในหมู่ราชาไม่ใช่พลังบ่มเพาะแต่เป็นทักษะลับและสายเลือดที่ไม่สามารถไขว้คว้าด้วยความพยายามและพรสวรรค์
ทั้งสองสละสิทธิ์ยอมแพ้และไม่เข้าร่วมการต่อสู่อีกต่อไป
“เหลือห้าคน? ยังเหลืออีกเยอะเลยนะ!” ฉื้อหวงจี่่กวาดมอง ดวงตะวันบนหัวของเขายังคงระเบิดแสงสว่างจ้าออกมา “เช่นนั้นข้าจะจัดการพวกเจ้าทุกคนและกลายเป็นผู้ชนะ!”
นี่เขาบ้าไปแล้ว? คิดจะยั่วยุให้ทุกคนโจมตีตนเองทั้งๆที่คู่ต่อสู้คือราชาในหมู่ราชางั้นรึ?
หนึ่งปะทะห้าที่เป็นราชาในหมู่ราชา เกรงว่าเขาคงจะบ้าไปแล้ว
หลิงฮฉันเค้นเสียงและปล่อยหมัด เป้าหมายของเขาไม่ใช่ฉื้อหวงจี่่คนเดียวแต่เป็นราชาทั้งห้าคน
“ปะทะด้วยหมัด? แบบนี้ล่ะที่ข้าชอบ!” ฉือหวงระเบิดพลังปราณออกมา ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นเป็นคนยักษ์ขนาดสามเมตร มือขนาดใหญ่ของเขาปล่อยหมัดออกไปโจมตีใส่ราชาทั้งห้าคนเช่นกัน
เป่ยหวงหัวเราะ เขานำกระบี่ยาวออกมาพร้อมกับกวัดแกว่งปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกอันไร้ก้นบึ้ง
อู่เมี่ยนกับหยางหลินเองก็ไม่ยินยอมว่าพวกเขาด้อยกว่าคนอื่น คนหนึ่งกวัดแกว่งดาบโจมตีในขณะที่อีกคนสะบัดร่มบรรพกาลในมือ เป้าหมายของพวกเขาคือราชาคนอื่นๆทั้งห้าเช่นกัน
แม่นางหยุนกับถัวป้าตงหันมองหน้ากัน
การปะทะของที่กำลังเกิดขึ้นอันตรายเป็นอย่างมาก หากเปลี่ยนให้พวกเขาไปอยู่ตรงนั้นเกรงว่าไม่เกินสิบกระบวนท่าพวกเขาคงพ่ายแพ้หมดสภาพ
ต่อให้เป็นราชาเหมือนกันแต่ความต่างของพลังกลับมีมากขนาดนี้
อู่เมี่ยนกับหยางหยินเริ่มได้รับบาดเจ็บ โลหิตของพวกเขาไหลรินและพลังต่อสู้เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว
อู่เมี่ยนนั้นเพิ่งจะระเบิดพลังออกมาจึงเป็นไปไม่ได้ที่พลังจะมั่นคงจนสามารถทัดเทียมกับราชาในหมู่ราชาได้ ส่วนหยางหลินเองก็ยกระดับพลังต่อสู้ด้วยเม็ดยา เป็นไปไม่ได้เลยจะสามารถควบคุมพลังของตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
‘ปัง ปัง ปัง’ ผ่านไปไม่นานหยางหลินกับอู่เมี่ยนก็ถูกทำให้สละสิทธิ์จากการต่อสู้
การพ่ายแพ้ที่นี่ไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวัง หากถูกโจมตีจากเหล่าราชาที่แท้จริง ใครบ้างจะต้านทานไหว?
แม่นางหยุน หยางหลิน อู่เมี่ยนและถัวป้าตงจ้องมองสี่คนที่ยังคงปะทะกันอยู่ ลึกๆในใจพวกเขายอมรับว่าทั้งสี่คนแข็งแกร่งกว่าจริงๆ
เพียงแต่ว่าราชาที่แท้จริงนั้นมีได้แค่คนเดียว คนที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายคือผู้ชนะและคนอื่นๆย่อมเป็นได้เพียงหินรองเท้าให้เหยียบย่ำ
ราชาเพียงหนึ่งเดียวจะเป็นหลิงฮัน เป่ยหวง ฉือหวง หรือฉื้อหวงจี่่?
ไม่มีใครคาดเดาได้ ทั้งสี่คนปะทะกันอย่างดุเดือดราวกับว่าแม้ผ่านไปอีกสิบปีการต่อสู้ก็ยังไม่อาจตัดสิน
แต่พวกเขาจะไปเอาเวลามากขนาดนั้นมาจากไหน?
หากสามวันยังไม่มีผู้ชนะ ทุกคนจะถูกตัดสิทธิ์!
หลิงฮันเป็นฝ่ายหยุดต่อสู้ก่อนและกล่าว “ถ้ายังปล่อยไว้แบบนี้ แม้ผ่านไปร้อยปีก็คงไม่สามารถตัดสินผู้แพ้ชนะ!”
“เหอๆ ข้ายอมรับว่ามดปลวกสามตัวอย่างพวกเจ้าค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่เทียบกับข้าแล้วยังห่างไกลหลายขุม!” ฉื้อหวงจี่่ยังคงกล่าวอย่างหยิ่งยโสทั้งๆที่ตระหนักถึงพลังของอีกสามคนแล้ว
ฉือหวงกล่าว “เจ้าจะบอกว่ามีวิธีตัดสินผู้ชนะ?”
“พวกเราจะจับฉลากแบ่งเป็นปะทะสองต่อสอง หลังจากนั้นผู้ชนะสองคนจะมาตัดสินกันเพื่อเลือกราชาอันดับหนึ่ง” หลิงฮันกล่าว
การที่พวกเขาทั้งสี่สู้รบกันอย่างชุลมุนนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะปล่อยการโจมตีด้วยพลังเต็มที่เนื่องจากจำเป็นต้องป้องกันตนเองไปพร้อมๆกัน แต่ถ้าหากแยกคู่ต่อสู้การตัดสินก็จะทำได้ง่ายยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นการสู้แบบชุลมุนพวกเขาจะไม่มีเวลาให้สะสมพลังปราณเพื่อปลดปล่อยกระบวนท่าที่ทรงพลัง
“ก็ดี!” ฉื้อหวงจี่่พยักหน้าเป็นคนแรก ที่จริงเขายอมรับว่าสิง่มีชีวิตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์สามคนนี้มีคุณสมบัติต่อสู้ได้ทัดเทียมเขาจริงๆ
ฉือหวงกับเป่ยหวงมองหน้ากันและพยักหน้า