ถ้าไปยังดินแดนใต้พิภพแน่นอนว่าจะสามารถทำให้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์สมบูรณ์ได้ แต่ปราณแห่งเซียนนั้นไม่เหมือนกัน มันช่วยให้ทั้งอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนสมบูรณ์ไปพร้อมกัน
กล่าวได้ว่าการบุกไปทำความเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในดินแดนใต้พิภพหมื่นปีเทียบเท่าการดูดซับปราณแห่งเซียนที่นี่เพียงครึ่งชั่วยาม
ในดินแดนใต้พิภพ สิ่งมีชีวิตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไม่สามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ตัวตนทไร้เทียมทานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อไปยังดินแดนใต้พิภพจะกลายเป็นเพียงตัวตนสามัญที่ตกตายได้ง่ายดาย
ยิ่งกว่านั้นหากปรับตัวให้เข้ากับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพเป็นเวลานานจะช่วยให้เข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ขิงดินแดนใต้พิภพได้ก็จริง แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในร่างก็จะหายไปราวกับว่าต้องเลือกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เพียงหนึ่ง
ดังนั้นปราณแห่งเซียนที่ได้รับจากที่นี่จึงล้ำค่ามาก ไม่เช่นนั้นแม้กระทั่งทายาทของเซียนถึงสองคนจะมาที่นี่ทำไม?
ระยะเวลาดูดซับปราณแห่งเซียนคือสามวัน ราชาทั้งหกดูดซับปราณแห่งเซียนอย่างบ้าคลั่งราวกับไม่ต้องการเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว ฉื้อหวงจี่่เองก็ต้องฝืนระงับความโกรธเอาไว้และลงมือดูดซับปราณแห่งเซียนเพื่อทำให้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของตนเองสมบูรณ์
หลิงฮันบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดแล้ว เขาที่ยังไม่ทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์ ปราณแห่งเซียนทั้งหมดจึงถูกดูดซับไปใช้เพื่อขัดเกลาอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ยังไม่สมบูรณ์ในระดับพลังผ่านๆมา
ปราณแห่งเซียนที่ดูดซับไปก่อนหน้านี้ช่วยให้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาสมบูรณ์ถึงระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดเท่านั้น
หนึ่งวันต่อมาในที่สุดอำนาจกฎเกณฑ์ในระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ของเขาก็สมบูรณ์ ตอนนี้ถ้าเขาสู้กับฉื้อหวงจี่่อีกครั้ง หลิงฮันมั่นใจว่าเขาจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ในหนึ่งร้อยกระบวนท่า แน่นอนว่าฉื้อหวงจี่่ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
ผ่านไปอีกวัน อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในระดับสุริยันจันทราขั้นต้นของหลิงฮันก็สมบูรณ์ แต่ความเร็วก็ค่อยๆช้าลง
วันที่สามผ่านไปและคลื่นแสงก็หายไปในที่สุด
หลิงฮันลุกขึ้นยืนและลืมตา ฉื้อหวงจี่่และคนอื่นๆก็ลุกขึ้นยืนพร้อมๆกัน ใบหน้าของพวกเขาประดับไว้ด้วยความพึงพอใจ ในสามวันที่ผ่านมานี้พวกเขาได้รับผลประโยชน์มากมาย
“ในเมื่อพรแห่งสวรรค์สิ้นสุดแล้ว คงถึงเวลาที่พวกเราจะได้ออกไปเสียที!”
‘คลืนน’ ทันใดนั้นเอง ร่างของราชาทั้งเก้าก็รู้สึกหนักหน่วงราวกับว่ามีอำนาจที่ทรงพลังโอบล้อมพวกเขาเอาไว้ พริบตาต่อมาพวกเขาทุกคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกป่าภูผาวารี
ไม่ใช่แค่พวกเขา แต่อัจฉริยะอีกร้อยกว่าคนที่เข้าร่วมแย่งชิงตำแหน่งเก้าราชาก็ถูกส่งออกมาทั้งหมด
นั่นหมายความว่าการคัดเลือกได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
“เผ่ามนุษย์!” เสียงคำรามอันโหดเหี้ยมดังก้อง ฉื้อหวงจี่่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับผมสีดำปนขาวที่สยายออกอย่างสะดุดตา กลิ่นอายของระดับดาราถูกปลดปล่อยออกมา ด้านหลังของเขามีดวงดาราขนาดเท่าฝ่ามือลอยอยู่
ระดับดาราขั้นต้น!
ที่ดาวเหอหนิงแห่งนี้ พลังบ่มเพาะระดับนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นตัวตนระดับสูง แม้ระดับดาราจะไม่ใช่ระดับพลังสูงสุดของดาวดวงนี้ แต่ก็มีคุณสมบัติถูกเรียกว่าปรมาจารย์
ราชาเช่นฉื้อหวงจี่่ย่อมมีพลังต่อสู้ที่หกดาวเมื่อทะลวงผ่านระดับดารา พลังต่อสู้ของเขาทัดเทียมได้กับจอมยุทธระดับดาราขั้นกลางชั้นปลายหรือแม้กระทั่งชั้นสูงสุด
ยิ่งว่านั้นเขายังครอบครองอาวุธเซียนอีก ไม่มีจอมยุทธคนใดในระดับดาราที่เขาไม่สามารถจัดการได้ บางทีฉื้อหวงจี่่อาจจะสามารถต่อกรกับตัวตนระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นเลยด้วยซ้ำ
หลิงฮันขมวดคิ้ว หรือเขาต้องเข้าไปหลบซ่อนในหอคอยทมิฬจริงๆ?
“ฮ่าๆ ฉื้อหวงจี่่ การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนจบลงไปแล้ว เจ้าคิดจะรังแกคนที่ระดับพลังต่ำกว่างั้นรึ?” ฉือหวงกระโดดมาบังด้านหน้าหลิงฮัน
“รังแกงั้นรึ?” ฉื้อหวงจี่่หัวเราะและกล่าว “ข้าบ่มเพาะพลังมาเพียงสองร้อยปี หมอนั่นที่มีอายุมากกว่าข้า หากสู้กันจะเรียกว่าข้ารังแกมันรึ?”
ในโลกแห่งวรยุทธ การต่อสู้ด้วยระดับพลังเดียวกันเรียกว่าการต่อสู้ที่ยุติธรรม แต่การต่อสู้กับจอมยุทธที่มีอายุขัยเท่ากันก็เรียกว่ายุติธรรมเช่นกัน
ฉือหวงพูดเถียงไม่ออก เขาหันไปมองหลิงฮันก่อนจะชะงักและหัวเราะ “ลองมองอีกครั้งว่าเขาอาวุโสกว่าเจ้ารึไม่?”
ฉื้อหวงจี่่แสดงท่าทีเหยียดหยาม แต่หลังจากกวาดสายตามองหลิงฮันใบหน้าก็กลายเป็นมืดมนทันที
ก่อนหน้านี้ที่ป่าภูผาวารีได้มีอำนาจลึกลับของสวรรค์และปฐพีปกคลุมเอาไว้ทำให้เขาไม่สามารถระบุอายุของหลิงฮันได้ แต่ตอนนี้เมื่อออกมายังโลกภายนอกและได้รับพลังระดับดารากลับคืนมา เขาจึงสามารถบอกได้เพียงแค่ชำเลืองมองว่าอายุของหลิงฮันนั้นต่ำกว่าร้อยปีแน่นอน
ถ้าพลังบ่มเพาะของเขาสูงกว่านี้คงสามารถระบุได้ชัดเจนขึ้นไปอีกว่าอายุของหลิงฮันนั้นต่ำกว่าห้าสิบปี ซึ่งเขาคงจะตะลึงยิ่งกว่านี้
ที่จริงในช่วงอายุที่ห่างกันไม่เกินหนึ่งปีนั้นไม่เรียกว่าห่างกันเกินไป แต่ปัญหาก็คืออายุร้อยปีกับสองร้อยปีนั้นห่างกันถึงเท่าตัว
ระยะเวลาบ่มเพาะที่ต่างกันเท่าตัวจะเรียกว่าการต่อสู้ที่ยุติธรรมได้อย่างไร?
ใบหน้าของฉื้อหวงจี่่เปลี่ยนเป็นเย็นชาและกล่าว “ก็ได้ ข้าจะไม่รังแกเจ้า คืนเพลิงของข้ามาแล้วครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่ครั้งหน้าที่เจอกัน… ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมละทิ้งเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดเด็ดขาด
“น่าขัน เพลิงนั่นคือสินสงครามของข้า” หลิงฮันกล่าว “ฉื้อหวงจี่่ ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ลดระดับให้เท่าข้า มาดูกันว่าในระดับพลังเดียวกันเจ้าจะพ่ายแพ้อีกครั้งรึไม่!”
“ฮึ่ม ในเมื่อพลังของข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าหลายสิบล้านเท่า เหตุใดจะต้องลดพลังตัวเองลงไปด้วย?” ฉื้อหวงจี่่แสยะยิ้ม เขาไม่สนใจฉือหวงและโจมตีทีเผลอ
“อวดดีนัก!” ฉือหวงเค้นคำราม คลื่นเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นหมัดขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่ฉื้อหวงจี่่
ตูม!
ฉื้อหวงจี่่พ่ายแพ้ย่อยยับทันที กล้ามเนื้อของเขาฉีกขาดและโลหิตทะลักออกมา เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉือหวงแม้แต่น้อย
‘พรึบ’ ด้านหลังของฉือหวงปรากฏดวงดาวสี่ดวง
ระดับดาราขั้นสูงสุด! ไม่สิ แม้จะยังไม่ก่อตัวขึ้นเป็นดวงดาวอย่างสมบูรณ์ แต่ดวงดาวดวงที่ห้าก็ปรากฏให้เห็นอย่างเรือนรางแล้ว
สมกับเป็นทายาทของเซียน!
ฉื้อหวงจี่่นั้นแม้จะเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ขนาดไหนก็ยังมีพลังบ่มเพาะระดับดาราขั้นต้น พลังต่อสู้ของเขาจะทัดเทียมกับระดับดาราขั้นสูงสุดได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นคือฉือหวงเองก็เป็นราชาในหมู่ราชา ในระดับพลังเดียวกันเขาเองก็ไม่ด้อยกว่าใครๆ
“บัดซบ!” ร่างของฉื้อหวงจี่่ชุ่มไปด้วยโลหิตราวกับคนบ้า ‘พรึบ’ เขานำอาวุธเซียนออกมา กระจกโบราณสั่นไหวเล็ดน้อย ทันใดนั้นจุดแสงเล็กๆก็ถูกควบแน่นขึ้นที่บริเวณกึ่งกลางของกระจก