ทางลานประลองส่งจอมยุทธอีกคนมาต่อสู้กับติงผิงต่อทันที
ติงผิงมีพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์แถมยังมีพรสวรรค์แต่กำเนิดที่ทำให้มีพละกำลังเกินกว่าระดับพลังบ่มเพาะ แม้แต่จะเป็นหลิงฮันก็คงต้องเอาจริงหากต้องการเอาชนะติงผิง ยิ่งกว่านั้นในโลกนี้จะมีจอมยุทธสักกี่คนที่ขัดเกาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์?
ติงผิงชนะการประลองอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไม่นานติงผิงก็เอาชนะติดต่อกันแปดครั้ง ไม่เพียงแต่ผู้ชมจะโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่ทางฝั่งผู้จัดการประลองยังเปลี่ยนสีหน้าด้วย
“ว่าไงนะ เจ้าหนูนั่นลงประลองด้วยเงินเดิมพันหนึ่งล้านผลึกก่อเกิด?” ซือหม่าหลิงอุทาน
ถ้าติงผิงเอาชนะติดต่อกันสิบครั้ง เงินเดิมพันหนึ่งล้านก็จะเพิ่มขึ้นพันเท่าเป็นหนึ่งพันล้าน!
ต่อให้เป็นสามตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่ง การสูญเสียผลึกก่อเกิดหนึ่งพันล้านผลึกก็ยังเป็นเรื่องที่เจ็บปวด
“ต้องหยุดเขาให้ได้!” หลินเซี่ยนกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนนุ่มราวกับสตรี
หลี่ลั่วถงไม่เอ่ยปาก แววตาของนางส่องประกายลึกลับโดยไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
“ให้จิ่วเยาลงมือ!” ซือหม่าหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“แต่ค่าจ้างของเขา…” ใครบางคนที่อยู่ด้านข้างซือหม่าหลิงเอ่ย
“ฮึ่ม ค่าจ้างเท่านั้นจะนับเป็นอันใดได้หากเทียบกับผลึกก่อเกิดหนึ่งพันล้าน?” ซือหม่าหลิงสะบัดมือ “รีบๆเข้า”
“ขอรับนายน้อย!” ชายคนนั้นรีบวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทว่าว่าคู่ต่อสู้คนที่เก้าของติงผิงยังไม่ใช่จิ่วเยาแต่เป็นคนอื่น พลังของเขานับว่าแข็งแกร่งทีเดียว แต่โชคร้ายที่หากไม่ได้ขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของติงผิง เขาพ่ายแพ้ภายในสามกระบวนท่า
“ชนะเลิศ!”
“ราชาไร้พ่ายสิบศึก!”
“ข้าอยากคลอดลูกให้เจ้า!”
ที่ฝั่งคนดู ทุกคนกลายเป็นบ้าคลั่ง อย่ามองว่าการประลองให้ชนะสิบครั้งติดต่อกันเป็นเรื่องง่าย ผู้ชนะเลิศเช่นนั้นในหนึ่งแสนปียากที่จะปรากฏขึ้นสักคน เหตุผลที่ยากเป็นเพราะคู่ต่อสู้ที่พบเจอจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆและไม่มีเวลาให้พัก
เมื่อเห็นว่าติงผิงเอาชนะการประลองติดต่อกันอย่างง่ายดายและมีโอกาสจะชนะสิบครั้งติดต่อกัน ผู้ชมจึงบ้าคลั่งเป็นธรรมดา
“ในการประลองครั้งที่สิบ คู่ต่อสู้คือหนึ่งในนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของลานประลอง จิ่วเยา!” ผู้บรรยายกล่าวตะโกน เสียงของเขาดังก้องเข้าหูของผู้ชมทุกคน
“เป็นจิ่วเยางั้นรึ!”
“ผู้ชนะเลิศการประลองสิบครั้งติดต่อกันเมื่อเจ็ดหมื่นปีก่อน!”
“ฮึ่ม!”
จิ่วเยาคือผู้ชนะเลิศการประลองสิบครั้งติดต่อกันเมื่อเจ็ดหมื่นปีก่อน เขาเป็นผู้ชนะเลิศเพียงคนเดียวในช่วงสองแสนปีที่ผ่านมาของระดับภูผาวารี
เมื่อได้ยินชื่อของเขา เหล่าผู้ก็สั่นสะท้านและโห่ร้องให้กำลังราวกับเห็นวีรบุรุษ
ภายใต้เสียงโห่ร้องเช่นนี้ แม้แต่ติงผิงก็ยังเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังและรอคอยคู่ต่อสู้คนสุดท้ายผู้นี้
ทันใดนั้นเองร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวจากทางเข้า เขาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์ทั่วไป ผิวของเขาซีดเขาและร่างกายผอมบางราวกับขาดสารอาหาร
รอบกายของเขานั้นบ้างก็มีออร่าสีดำลอยออกมา บ้างก็เป็นออร่าสีแดงเพลิง บ้างก็เป็นออร่าสว่างราวกับแสง
แต่เมื่อมองไปยังดวงตาของเขา เกรงว่าห้วงจิตใจของทุกคนคงจะสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือก
แววตาแห่งความกระหายเลือด!
ชายหนุ่มคนนี้ราวกับเติบโตท่ามกลางฝูงสัตว์อสูร เขาเกิดมาเพื่อสังหารทุกสรรพสิ่งที่ขวางหน้า ในแววตาของเขาไม่อาจมองเห็นสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากความปรารถนาโลหิต
“ย้ากกก!” ชายหนุ่มคำรามใส่ติงผิงพร้อมกับยกมือขึ้น บนข้อมือของเขาปรากฏรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นหมาป่ายักษ์สูงสามฟุต ร่างที่เต็มไปด้วยขนสีเงินของมันดูแล้วทรงพลังอย่างมาก
หมาป่ายักษ์พุ่งกระโจนเข้าใส่ติงผิงด้วยความเร็วสูงราวกับแสง พริบตาเดียวมันก็ปรากฏตัวด้านหน้าติงผิงและอ้าปากหวังจะงับลำคอ
ติงผิงกำหมัดและชกเข้าที่หัวของหมาป่ายักษ์
ตูม!
เมื่อหมัดเข้าปะทะเป้าหมาย คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกส่งผลให้หัวของหมาป่ายักษ์แหลกเป็นเศษเนื้อ ร่างของมันลอยกระเด็นกลิ้งถอยกลับไปหลายสิบฟุต
แต่เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น หมาป่ายักษ์ลุกยืนขึ้นมาพร้อมกับหัวของมันได้งอกขึ้นใหม่จากลำคอราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
“หืม?” หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย หมาป่านั่นคืออะไร?
จิ่วเยาพับแขนเสื้ออีกข้างขึ้นขึ้น รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นที่ข้อมือของเขาอีกครั้ง ‘พรึบ’ แสงจากรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายและหมียักษ์โลหิตขนาดห้าฟุตได้ปรากฏตัวขึ้น
หมาป่าและหมีคำรามพร้อมกับอย่างต่อเนื่องและพุ่งเข้าใส่ติงผิง
จิ่วเยาพับแขนเสื้อขึ้นอีก รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายและสัตว์อสูรก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แขนซ้ายของเขามีรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์สี่อัน แขนขวาห้าอัน รวมแล้วเขาสามารถเรียกสัตว์อสูรออกมาได้ทั้งหมดเก้าตัว
เแบบนี้เองเขาถึงถูกเรียกว่าจิ่วเยา เพราะเขาสามารถเรียกสัตว์อสูรทั้งเก้าได้นี่เอง
*九妖(จิ่วเยา) เก้าอสูร
นี่เป็นความสามารถแต่กำเนิด? ไม่เช่นนั้นชื่อของเขาคงไม่ถูกตั้งว่าจิ่วเยา
สัตว์อสูรทั้งเก้าปรากฏตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ละตัวมีพลังอยู่ที่ระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุด เมื่อทั้งเก้าตัวลงมือพร้อมกันพลังของพวกมันเรียกได้ว่าเกือบจะทัดเทียมกับขั้นสมบูรณ์ชั้นต้น
นี่คือพลังแห่งสายเลือด?
หลิงฮันรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก ไม่น่าแปลกใจที่ชายหนุ่มคนนี้สามารถกลายเป็นผู้ชนะเลิศสิบครั้งของลานประลอง
เพียงแต่ว่าติงผิงไม่ใช่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด แต่เป็นขั้นสมบูรณ์ชั้นกลาง! ต่อให้จิ่วเยาเป็นอัจฉริยะหกดาว หรือเมื่อผสานพลังกับสัตว์อสูรทั้งเก้าแล้วจะทำให้เขามีพลังต่อสู้เจ็ดดาวก็ไม่มีทางเลยที่จะเอาชนะติงผิงที่ตอนนี้มีพลังต่อสู้แปดดาว
“เข้ามา!” ติงผิงคำรามและพุ่งขึ้นหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับจิ่วเยา
‘ตูม! ตูม! ตูม!’
หมัดที่ติงผิงปล่อยออกไปแสดงถึงอำนาจอันไร้เทียมทาน สัตว์อสูรทั้งเก้าไม่แม้แต่จะมีโอกาสหยุดยั้งเขาเอาไว้ ติงผิงปรากฏตัวที่ด้านหน้าจิ่วเยาและชกหมัดออกไป
‘ตูม’ หมัดปะทะเข้ากับหน้าอกของจิ่วเยา
หืม?
หลิงฮันอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้เนื่องจากหมัดที่ดูเหมือนจะปะทะเข้ากับเป้าหมายของติงผิง แท้จริงแล้วไม่ได้สัมผัสโดนจิ่วเยา ร่างของจิ่วเยาระเหยเป็นหมอกที่ไม่อาจถูกโจมตี
จิ่วเยาใช้โอกาสนี้ตอบโต้ มือของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บและฟันเข้าใส่ลำคอติงผิง
ติงผิงไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีทักษะที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรพลังของเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่า ติงผิงรวมพลังเอาไว้ที่เท้าและดีดตัวเองถอยหลัง
‘ฉัวะ’ การโจมตีของจิ่วเยาปะทะเข้ากับความว่างเปล่า แต่สัตว์อสูรทั้งเก้าได้พุ่งเข้ามาและกระหน่ำโจมตีใส่ติงผิงอย่างบ้าคลั่ง
“น่าสนใจ!” ณ ด้านบนของแท่นคนดู แววตาของซือหม่าหลิงและอีกสองคนส่องประกายด้วยความตื่นเต้น
“ไม่คาดคิดว่าจะรับมือกับจิ่วเยาได้ขนาดนี้!”
“เหตุใดชายหนุ่มคนนั้นถึงโจมตีได้รุนแรงขนาดนั้น? หรือว่า…”
“ขั้นสมบูรณ์!”
ทั้งสามคนสนทนากันและอุทานด้วยความตะลึง
ทักษะของจิ่วเยาที่สามารถระเหยร่างของตนเองเป็นหมอกได้ถือว่าอัศจรรย์มาก แต่ติงผิงที่คาดว่าจะขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูร์นั้นน่าทึ่งยิ่งกว่า ในจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์คนที่สามารถบรรลุระดับนั้นได้มีเพียงหยิบมือเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง จิตใจของทั้งสามคนก็สั่นสะท้านไปด้วยความรู้สึกอยากนำติงผิงมาเป็นผู้ติดตาม