ติงผิงกับจิ่วเยาปะทะกันอย่างต่อเนื่อง
ติงผิงได้เปรียบเรื่องพลังบ่มเพาะที่เหนือกว่าเนื่องจากขัดเกลาพลังจนถึงขั้นสมบูรณ์ แต่เนื่องจากเขายังไม่บรรลุขั้นสมบูรณ์ชั้นปลาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงอำนาจที่ทัดเทียมกับระดับสุริยันจันทราออกมา
แต่ถึงแม้จิ่วเยาจะมีพลังบ่มเพาะที่ต่ำกว่า แต่เขาเป็นอัจฉริยะหกดาวไม่ผิดแน่ซึ่งความต่างของพลังต่อสู้ระหว่างเขากับติงผิงคือสองดาว แต่ด้วยการช่วยเหลือของสัตว์อสูรทั้งเก้าจึงเพียงพอที่จะทดแทนความต่างของพลังได้อีกหนึ่งดาว
แถมตัวของจิ่วเยาเองก็สามารถเปลี่ยนเป็นหมอกเพื่อหลบหลีกการโจมตีได้ด้วย ทำให้พลังต่อสู้ของเขาทรงพลังขึ้นไปอีกขั้น
แต่ร่างกายที่แปรเปลี่ยนเป็นหมอกนั้นเปรียบเสมือนดาบสองคม ยิ่งถูกโจมตีมากเท่าไหร่ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดยิ่งขึ้น แต่ความกระหายเลือดในแววตาของเขานั้นไม่เปลี่ยนแปลง
ความสามารถนี้ดูแล้วคงเป็นความสามารถแต่กำเนิด เหมือนกับติงผิงที่สามารถปลดปล่อยอำนาจที่เหนือกว่าระกับพลังของตนเอง
ปัง! ปัง! ปัง!
ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไปเรื่อยๆ ติงผิงก็รู้สึกฮึกเหิมอยากเอาจริงและใช้ความสามารถพิเศษของตนเองออกมา จิ่วเยาที่ถูกโจมตีถึงกับไม่อาจต้านทานหมัดของเขาได้ไหว
ร่างกายที่ระเหยเป็นหมอกไม่สามารถสลายพลังโจมตีได้!
เมื่อพลังโจมตีหนักหน่วงถึงจุดจุดหนึ่ง ร่างกายของเขาจะไม่สมารถสลายพลังทำลายของการโจมตีนั้นได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากรับหมัดของติงผิง ทั่วทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้านและกระอักโลหิตออกมา
หลิงฮันพยักหน้า หากร่างกายของจิ่วเยาไม่สามารถถูกทำลาย ความสามารถนั้นก็คงจะฝืนสวรรค์เกินไป
ติงผิงปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา เมื่อรับหมัดอันทรงพลังจนกระอักโลหิตอย่างต่อเนื่อง จิ่วเยาก็ล่าถอยจะยอมรับความพ่ายแพ้ในที่สุด
“เจ้า… ขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์?” จิ่วเยามองติงผิง แม้จะพ่ายแพ้สีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงออกถึงความผิดหวังแม้แต่นิดเดียว ท่าทีของเขายังคงสงบนิ่ง แม้แต่แววตากระหายเลือดเองก็ดูเหมือนจะลดลง
“ไม่ผิด” ติงผิงหยักหน้าและกล่าว “ถ้าพวกเรามีพลังบ่มเพาะขั้นเดียวกัน ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเจ้าได้รึไม่”
“ข้าต้องชนะ!” จิ่วเยากล่าวอย่างมั่นใจ
ติงผิงชะงัก นี่เจ้าจะถ่อมตัวหน่อยไม่ได้รึไง? งั้นเขาก็จะไม่ถ่อมตัวเช่นกัน “น่าเสียดายที่เจ้าไม่สามารถทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์และจะอยู่ในระดับพลังที่ต่ำกว่าข้าไปตลอดกาล เจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้!”
จิ่วเยานิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “แล้วเจ้าบรรลุขั้นสมบูรณ์ได้อย่างไร?”
หมอนี่บ้ารึเปล่า?
ติงผิงประหลาดใจ บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีจอมยุทธกี่คนเชียวที่บรรลุขั้นสมบูรณ์ได้? เกรงว่าจำนวนของอัจฉริยะเหล่านั้นคงน้อยกว่าจำนวนของตัวตนระดับวารีนิรันดร์เสียอีก จะบรรลุขั้นสมบูรณ์อย่างไรนั้นแน่นอนว่าเป็นความลับสุดยอด เจ้ากับข้าเพิ่งจะสู้กันมาแต่เจ้ากลับถามออกมาดื้อๆเช่นนั้นน่ะรึ?
แต่ถึงอย่างนั้นติงผิงก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง แม้จิ่วเยาจะมีออร่าแห่งการเข่นฆ่าสังหาร แต่ตัวเขาก็เปรียบเสมือนกับกระดาษขาวที่ไม่เข้าใจโลก เพราะงั้นเขาจึงถามคำถามออกมาโดยรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
ติงผิงครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “อาจารย์ของข้าเป็นคนสอนหลายๆอย่างให้ข้า ยิ่งกว่านั้นข้าก็ไม่ใช่คนโง่จึงสามารถทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์ได้สำเร็จ”
“ใครเป็นอาจารย์ของเจ้า?” จิ่วเยาเอ่ยถามด้วยแววตาส่องประกายราวทันที
“นั่น” ติงผิงชี้ไปยังทิศที่หลิงฮันยืนอยู่
จิ่วเยามองตามและจ้องไปที่หลิงฮัน ทันใดนั้นเองผมดำยาวของเขาก็ตั้งชันและขนลุกไปทั่วร่างราวกับสัตว์ที่พบเจอกับภัยอันตราย
“คนคนนั้น… แข็งแกร่ง!” จิ่วเยากล่าว
“อาจารย์ของมีชะตาที่จะกลายเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่ง!” ติงผิงกล่าวอย่างมั่นใจ
“แค่ก แค่ก!” ในตอนนั้นก็มีใครบางคนกระแอมแทรกบทสนทนาของทั้งคู่ คนที่ว่าคือผู้บรรยายของลานประลอง “การประลองครั้งนี้ ติงผิงเป็นผู้ชนะ! โปรดโห่ดีใจให้กับผู้ชนะเลิศคนใหม่ของเราด้วย เขาคือผู้ชนะเลิศคนที่สองในช่วงเจ็ดหมื่นปี!”
“ผู้ชนะเลิศโปรดรอซักครู่เนื่องจากเงินเดิมพันมีจำนวนมหาศาลทำให้ไม่สามารถรวบรวมได้ในระยะเวลาอันสั้น” ผู้บรรยายปาดเหงื่อ ผนึกก่อเกิดจำนวนพนึ่งพันล้านเป็นมูลค่าที่น่าหวาดกลัวเกินไปสำหรับเขา
แต่เจ้าหนูนี่จะกล้าออกจากเมืองหลังจากนี้งั้นรึ?
ด้วยเงินจำนวนมากเช่นนั้น ใครบางจะไม่หวั่นไหว?
ต่อให้ติงผิงไร้เทียมทานในลานประลองแห่งนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เพียงจอมยุทธระดับภูผาวารีเท่านั้น แค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราก็สามารถบดขยี้เขาได้แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงปรมาจารย์ระดับดาราในเมืองวายุผสานแห่งนี้เลย!
“รีบหน่อยแล้วกัน” ติงผิงกล่าวก่อนจะลงจากลานต่อสู้
หลิงฮันและคนอื่นๆเองก็กลับไปยังโรงเตี๊ยม เงินเดิมพันของติงผิงยังไม่สามารถรับได้ในตอนนี้ ต่อให้ดูการประลองต่อไปก็ไม่มีความหมาย
“หืม?” หลิงฮันสัมผัสได้ถึงบางอย่างและยิ้ม
“มีอะไรรึ?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ถาม
“ดูเหมือนจะมีแขกมาหาพวกเรา”
เป็นอย่างที่ว่า พวกเขามาถึงโรงเตี๊ยมได้ไม่นานก็มีใครบางคนมาหา ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวของแขกที่มาหานั้นทำให้ผู้เข้าพักหลายคนใบหน้าซีดขาวด้วยความหวาดกลัว
จิ่วเยา!
“ข้าอยากคารวะท่านเป็นอาจารย์” จิ่วเยากล่าวออกมาตรงๆไม่อ้อมค้อม
หลิงฮันหัวเราะ “ทำไมข้าต้องรับเจ้าเป็นศิษย์ด้วย?”
จิ่วเยาใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่และกล่าว “ข้าสามารถสังหารคนให้ท่านได้”
หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูดทันที จิตใจของชายหนุ่มผู้นี้หมกหมุ่นกับการเข่นฆ่ามากเกินไป แต่จิ่วเยาเองก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี ที่เขาพ่ายแพ้ให้กับติงผิงเป็นเพราะพลังต่อสู้ที่ต่างกันสองดาว หากฝึกฝนให้ดีอนาคตของจิ่วเยาผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าติงผิงแน่นอน
ยิ่งกว่านั้นแม้จิ่วเยาจะฝักใฝ่การฆ่า แต่นิสัยของเขาก็เปรียบเสมือนกระดาษขาว เอาไว้ค่อยๆสอนให้เขาไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“ถ้าเจ้าต้องการนับถือข้าเป็นอาจารย์ อย่างแรกเลยคือห้ามสังหารผู้คนมั่วซั่ว!” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
จิ่วเยาครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็พยักหน้าและคุกเข่าลงพร้อมกับก้มหัวคารวะสามครั้ง “จิ่วเยา คารวะอาจารย์!”
เร็วเกินไปแล้ว หลิงฮันยังไม่ทันบอกว่าจะรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์เลยด้วยซ้ำ!
เขาถอนหายใจ ดูแล้วศิษย์ของเขาคนนี้จะมีนิสัยดื้อรั้นเป็นอย่างมาก… แต่คนเช่นนี้ก็นับว่าหาได้ยากยิ่ง ในโลกนี้จะมีสักกี่คนเชียวที่ตรงไปตรงมาแบบนี้
“ตกลง ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าเป็นศิษย์คนที่หกของข้า”
“ยินดีด้วยท่านอาจารย์! ยินดีด้วยศิษย์น้องหก!” เฉินหลุยเจียงและคนอื่นๆกล่าวแสดงความยินดี
จิ่วเยามองไปยังเฉินหลุยเจียงและศิษย์อีกสามคนก่อนจะส่ายหัวและกล่าว “ทำไมพวกท่านถึงได้ดูอ่อนจัง?” ใบหน้าเขาแสดงออกถึงความสงสัย
เฉินหลุยเจียงและอีกสามคนชะงักทันที เหตุใดศิษย์น้องของพวกเขาถึงได้พูดตรงขนาดนี้?
“ศิษย์น้องหก พวกเราทุกคนไม่ว่าใครก็สามารถเอาชนะเจ้าได้ทั้งนั้น กล้าพูดออกมาได้อย่างไรว่าพวกเราอ่อนแอ?” เจียนเยว่ซวนหัวเราะ เขาเองก็เป็นอัจฉริยะ เมื่อได้ยินคำกล่าวของจิ่วเยาเป็นธรรมดาที่จะไม่สบอารมณ์
“ในการต่อสู้ระดับเดียวกัน พวกท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” จิ่วเยากล่าวอย่างสงบนิ่วไร้สีหน้าราวกับสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ใช่เรื่องผิด
ฮึ่ม!
เฉินหลุยเจียงและศิษย์อีกสามคนกัดฟัน พวกเขารู้สึกว่าต้องสอนศิษย์น้องใหม่คนนี้ให้รู้จักเคารพศิษย์พี่เสียแล้ว