ทั้งหลินอวีฉีและหานซินเหยียนเชื่อในความสามารถของหลิงฮันสนิทใจจึงไม่ทำการทดสอบต่อและอธิบายรายละเอียดการแข่งขันของตำหนักเป่าหลิน
การแข่งขันของทางตำหนักนั้นคล้ายคลึงกับการทดสอบที่หลินอวีฉีทำก่อนหน้านี้
ผู้เข้าร่วมทุกคนต้องทดสอบทั้งหมดสี่ด่านซึ่งก็คือ จำแนกรูปลักษณ์สมุนไพร ประกอบสมุนไพรเข้าด้วยกันใหม่ แยกแยะสมุนไพรและหลอมเม็ดยา
การแข่งขันทั้งสี่ด่านจะมีแต้มแตกต่างกันออกไป อย่างการแข่งขันด่านแรกมีแต้มรวมเพียงหนึ่งในสิบ ส่วนการปรุงยามีแต้มรวมถึงห้าในสิบ ดังนั้นการแข่งขันด่านที่สำคัญที่สุดก็คือการปรุงยา
เกวียนขับเคลื่อนเป็นเวลาสิบสามวันในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองหยาดฝนครามอันเป็นที่ตั้งของตำหนักเป่าหลินสาขาหลักและเป็นต้นตระกูลของสี่ตระกูล ตำหนักเป่าหลินเป็นที่รู้จักในเรื่องความโดดเด่นของศาสตร์ปรุงยา ทรัพยากรของพวกเขานั้นมั่งคั่งเป็นอย่างมาก
ที่จริงในด้านศาสตร์แห่งวรยุทธเอง ตำหนักเป่าหลินก็ไม่ได้อ่อนแอ อย่างเช่นสี่ตระกูลผู้ก่อตั้งเองก็มีปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์มากมาย ไม่เช่นั้นพวกเขาคงไม่สามารถคุ้มครองความมั่งคั่งของตนเองไว้ได้
เมืองหยาดฝนครามเป็นดั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่านักปรุงยา ทุกๆวันจะมีรถขนเม็ดยามากมายส่งเม็ดยาจากเมืองนี้ไปยังจักรวรรดิราชวงศ์ทั้งสอง
เกือบทุกครัวเรือในเมืองนี้ทำการค้าขายเสมุนไพรหรือเม็ดยา แม้พวกเขาจะไม่ใช่นักปรุงยาก็เป็นชาวสวนสมุนไพร
ตำหนักเปาหลินมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าหนึ่งล้านปีในดาวดวงนี้ ต่อให้จักรวรรดิราชวงศ์จะร่วงหล่นหรือก่อตั้งขึ้นใหม่ก็ไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อพวกเขา
เพราะไม่ว่าอย่างไรการบ่มเพาะพลังก็ต้องพึ่งพาเม็ดยา ยิ่งกว่านั้นที่ข่าวลือว่าที่จักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์สามารถเติบโตได้จนถึงทุกวันนี้นั้นเป็นเพราะการสนับสนุนจากตำหนักเป่าหลิน
หลังจากการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จำแหน่งเป่าก็ถูกแบ่งออกเป็นสี่ตระกูลใหญ่และแตกแขนงสาขาย่อยออกไปมากมาย
ตอนนี้ตระกูลหลินปกครองตำหนักทุดสาขาในทิศเหนือ พวกเขาดำรงตำแหน่งนี้มานานแล้วกว่าเก้าล้านปีก่อน และเนื่องจากสาขาหลักของตำหนักทิศเหนือมีนักปรุงยาระดับสิบหกอยู่พวกเขาจึงสร้างแรงกดดันให้กับสาขาย่อยอีกเก่าสิบเก้าสาขาอย่างมาก
หลินอวีฉีเป็นคนของสาขาอังหยวนซึ่งถูกจัดอยู่ล่างสุดของสาขาทั้งหมดที่ตระกูลหลินปกครองอยู่ นักปรุงยานี่แข็งแกร่งที่สุดในสาขาของนางคือนักปรุงยาระดับสิบสามที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์
ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่เมืองต้าหยิงเหตุผลที่หลินอวีฉีคิดหวังพึ่งนักปรุงยาจากนอกตำหนักก็เป็นเพราะต้องการสร้างชื่อเสียงให้ตำหนักของนางและเพื่อให้ได้รับสิทธิ์เข้าไปในเขตแดนลี้ลับโบราณมากขึ้นกว่าเดิม
เขตแดนลี้ลับแห่งนี้คือวาสนาครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนโชคชะตาตำหนักของนาง หากทำผลลัพธ์ได้ไม่ดีชื่อเสียงของสาขาอังหยวนคงต่ำต้อยลงและวันหนึ่งจะถูกลบออกจากสาขาย่อยตระกูลหลิน
ตระกูลหลินมีสาขาย่อยอยู่นับร้อย และสาขาที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะถูกยินยอมให้นับว่าเป็นสาขาย่อยของตระกูลหลิน สาขาย่อยที่อ่อนแอจะถูกลบทิ้งโดยปรมาจารย์จากเบื้องบน
เนื่องจากสาขาของนางไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก หลิงฮันกับคนอื่นๆที่มาด้วยกันจึงได้ที่พักที่ค่อยข้างทรุดโทรม ไม่เหมือนสาขาย่อยอันดับต้นๆที่ได้พักอาศัยในที่อยู่กว้างขวาง
ยิ่งกว่านั้นเมื่อมองดูสาขาย่อยอื่นๆแล้ว จำนวนผู้เข้าแข่งขันของพวกเขานั้นมีถึงสิบคนซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่สามารถเข้าร่วมได้พอดี ในขณะเดียวกัน ผู้เข้าร่วมแข่งขันของสาขาย่อยอังหยวนมีเพียงหลิงฮันกับหานซินเหยียนเท่านั้น
และประเด็นสำคัญคือทั้งสองเป็นคนนอกที่ไม่ใช่คนของสาขาอังหยวนหรือคนของตระกูลหลินเสียด้วย
หลินอวีฉีเป็นอัจฉริยะก็จริง แต่พรสวรรค์ของนางโดดเด่นไปทางศาสตร์แห่งวรยุทธมากกว่า แม้นางจะสามารถระบุหรือแยกแยะสมุนไพรได้บ้าง แต่หากนางเข้าร่วมการแข่งขันคงไม่สามารถทำผลลัพธ์ได้ดีเท่าไหร่
เมื่อถึงที่พัก หลิงฮันก็เข้าไปในหอคอยทมิฬทันที ตัวเขาในตอนนี้กระตือรือร้นอย่างมากที่จะจดจำรูปลักษณ์สมุนไพรให้มากกว่านี้
ปัง!
ขณะเดียวกันกับที่เกิดเสียงกระแทกกึกก้อง ประตูที่พักที่พวกเขาอยู่ก็ถูกถีบเปิดออกจนปรากฏให้เห็นร่างของคนห้าคน หนึ่งเป็นชายวันกลางคนร่างกำยำ ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า ผมสีดำของเขาสยายยาวลงมาถึงส่วนหน้าอก
ด้านหลังของเขาคือรุ่นเยาว์สี่คน สามคนเป็นบุรุษหนึ่งคนเป็นสตรี แต่ละคนมีท่าทีหยิ่งยโสสูงเสียดฟ้าประทับเอาไว้บนใบหน้า
หลินอวีฉีกับหานซินเหยียนที่กำลังสนทนากันอยู่ในห้องนั่งเล่นรีบวิ่งออกมาทันทีหลังจากได้ยินเสียงกึกก้อง เมื่อพวกนางเห็นเหล่าคนที่อยู่หน้าประตูใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ทันที
“หลินเฟิง เจ้าทำบ้าอะไร?” หลินอวีฉีไม่หลงเหลือท่าทียั่วสวาทอีกต่อไปและเอ่ยถามชายวัยกลางคน เมื่อสายตาของนางชำเลืองไปยังหน้าอกอันหนาแน่นของอีกฝ่ายก็เผยสีหน้ารังเกียจออกมา
คนทั้งห้านี้เป็นคนของตระกูลหลินเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาเป็นคนของสาขาเหิงหยุนซึ่งถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของตำหนักสาขานับร้อย อีกฝ่ายเป็นผู้คุ้มกันของตำหนักสาขาเหิงหยุนโดยที่พลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับดาราขั้นกลาง
หลินเฟิงจ้องมายังหน้าอกอันใหญ่โต่ของหลินอวีฉีด้วยสายตามากตัณหา เขาเคยไปเยี่ยมเยือนตำหนักสาขาอังหยวนเมื่อหนึ่งพันปีก่อนแล้วได้พบเห็นหลินอวีฉีเข้าพอดี ตั้งแต่ตอนนั้นมาเขาก็สนใจในตัวสตรีผู้มีภูเขามหึมานางนี้
เขาเคยขอนางแต่งงานแต่หลินอวีฉีปฏิเสธ แต่เพราะความเกรงกลัวที่มีต่อต้นตระกูลหลินเขาถึงไม่กล้าลงมือทำอะไรผลีผลาม
แต่ครั้งนี้เขาเป็นผู้นำกลุ่มที่เข้าร่วมการแข่งขันของตำหนักสาขาเหิงหยุน เมื่อรู้ว่าหลินอวีฉีมาที่นี่เขาก็อดใจมาพบนางไม่ได้
“อวีฉี สาขาอังหยวนของเจ้ามีโชคชะตาย่อยยับอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จะยังอยู่ทนอยู่ในสาขาที่ไม่มีอนาคตไปอีกทำไม? เจ้ากับข้านั้นแต่งต่างกัน สาขาของข้าเป็นถึงหนึ่งในสิบอันกับแรกของสาขาย่อยและมีทรัพยากรมากมายนับไม่ถ้วน เจ้ารู้ดีว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเจ้าคืออะไร” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเห็นใจ
แต่ที่ขัดกับคำพูดเห็นใจของเขาคือแววตามากตัณหาที่กำลังจดจ้องอยู่ที่ใบหน้า หน้าอกและต้นขาของหลินอวีฉี
“สาขาอังหยวนของข้าจะตกต่ำเพียงใดก็ไม่ใช่ธุระกงการของเจ้า!” หลินอวีฉีกล่าวอย่างไร้สิ้นเยื่อใยพร้อมกับชี้ไปที่ประตู “ไสหัวไป!”
“ฮ่าๆ ทำไมต้องหัวเสียด้วยเล่า!” หลินเฟิงยืนอยู่อย่างหน้าด้าน หลินอวีฉีเคยปฏิเสธเขามาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เขารู้ว่านางคงไม่ตกลงกับเขาเหมือนเดิม “ยังมีเวลาอีกสามวันกว่าการแข่งขันจะเริ่ม ทำไมพวกเราไม่ให้เหล่ารุ่นเยาว์อุ่นเครื่องกันเสียหน่อยล่ะ?”
หลินเฟิงแสยะยิ้มในใจ ครั้งนี้เขามาก็ปะทะกับหลินอวีฉี