นี่ถือว่าเป็นโชคชะตา ที่ทำให้เขาได้พบกับใครสักคนที่คลั่งไคล้ในวิถีดาบ
ในหมู่ศิษย์ทั้งหกคนของหลิงฮัน คังซิวหยวนกับหยุนหย่งหวังนั้นเรียนรู้ศาสตร์แห่งการปรุงยาจากเขา ในด้านของวิถีวรยุทธ พลังต่อสู้ของพวกเขาจัดอยู่ในระดับล่างของจอมยุทธระดับเดียวกัน
เฉินหลุยเจียงเชี่ยวชาญกระบี่ เจียนเยว่ซวนเองก็ฝึกฝนศาสตร์แม้จะมุ่งเน้นไปที่วิถีดาบแต่ก็ฝึกฝนวิถีต่อสู้อีกหลายรูปแบบ ศิษย์เล็กทั้งสองของเขาอย่างติงผิงก็เชี่ยวชาญการปะทะด้วยหมัด
ส่วนจิ่วเยาถึงแม้เขาจะไม่ค่อยได้สอนอะไรมากมาย อีกฝ่ายก็มีพรสวรรค์ในการอัญเชิญสัตว์อสูรซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้แห่งวิถีดาบ
ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่พบใครที่เขาจะส่งมอบทักษะดาบฟ้าคำราม!
เพราะงั้นเมื่อเห็นความคลั่งไคล้ในดาบของหานตง หลิงฮันจึงตัดสินใจสอนส่วนหนึ่งของทักษะดาบฟ้าคำรามให้
แต่แน่นอนว่านอกจากหลิงฮันแล้ว คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีจอมยุทธคนอื่นสามารถใช้ทักษะดาบฟ้าคำรามได้อย่างเชี่ยวชาญเช่นเขา เหตุผลหลักๆเลยก็คือจะมีใครอื่นที่สามารถเข้าใจหลักวิถีของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้?
หลิงฮันถอนหายใจและเดินเข้าไปยังวิหารแสงอรุณสันติ
ณ ตอนนี้ ถ้ามีใครบางคนที่ช่างสังเกตุ พวกเขาคงจะพบว่าแม้อักษรทั้งสามจะยังส่องประกายแสงเจิดจรัส แต่อำนาจบางส่วนของอักษรได้จางหายไปแล้ว
ระดับดาราขั้นต้นชั้นกลาง!
หลิงฮันพึงพอใจมาก หากพึ่งพาการบ่มเพาะพลังเพียงอย่างเดียว ต่อให้มีการสนับสนุนจากเม็ดยาเขาก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีในการสะสมพลังปราณเพื่อทะลวงขั้นพลัง
เขารู้สึกคาดหวังในวิหารอีกแปดชั้นที่เหลือ… เขาจะสามารถรู้แจ้งได้เหมือนกับวิหารในชั้นหนึ่งรึเปล่า?
ความคิดนี้ทำให้หลิงฮันตื่นเต้นและเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ในวิหารไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โต ทั่ววิหารมีเพียงความว่างเปล่า สิ่งเดียวที่มีคือแปลงหญ้าตรงกึ่งกลางวิหาร
แม้มันจะดูเหมือนหญ้า แต่ความสูงของมันสูงถึงร้อยฟุต ทั่วทั้งคำต้นเป็นสีเขียวและมีผลขนาดเล็กงอกอยู่ที่ส่วนปลาย
หลิงฮันชะงักทันที
หญ้าสมุนไพรที่อยู่ตรงหน้าเขาคือสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบ!
สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดจะถูกเรียกว่าสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ ส่วนสมุนไพรระดับยี่สิบขึ้นไป… มันคือสมุนไพรเซียน!
หากใครกินผลของหญ้าสมุนไพรนี้เข้าไป พลังของคนคนนั้นจะไม่ทะยานสูงขึ้นจนบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งเลยรึ? แม้การบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งด้วยสมุนไพรหรือเม็ดยาจะทำให้พลังต่อสู้ต่ำต้อยที่สุดในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกันก็ตาม แต่คนผู้นั้นก็ยังสามารถสยบจอมยุทธอื่นที่พลังบ่มเพาะต่ำกว่าเซียนได้อย่างง่ายดาย
ไม่ต้องยกตัวอย่างใดๆ แค่คำว่าเซียนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จอมยุทธทุกคนจิตใจหวั่นไหว
สี่ร้อยล้านปีที่ผ่านมา สมุนไพรล้ำค่าต้นนี้อยู่ที่นี่มาโดยตลอด หนึ่งผลแรกที่เป็นเช่นนั้นคือเพราะสมุนไพรต้นนี้ยังไม่เติบโตเต็มที่ หรือเหตุผลที่สองคือสมุนไพรต้นนี้เก็บเกี่ยวได้ยากเกินไป
หลิงฮันจ้องมองอย่างถี่ถ้วน สิ่งที่คุ้มกันสมุนไพรต้นนี้อยู่ไม่ใช่หุ่นเชิดแต่เป็นรูปแบบอาคม
เขาไม่สามารถทำลายรูปแบบอาคมนี้ได้เนื่องจากมันซับซ้อนเกินไป เขารู้สึกราวกับว่ารูปแบบอาคมนี้คือรูปแบบอาคมสังหารอันไร้เทียมทาน หากเขาผลีผลามลงมือโจมตีรูปแบบอาคมตรงหน้า ด้วยพลังของเขาในตอนนี้จะต้องตกตายในพริบตา!
เขาหาโอกาสที่ไม่มีใครสนใจเรียกเซียนหวู่เซียงออกมา
“เจ้าหนู ข้าเตือนเจ้าไปแล้วไม่ใช่รึว่าห้ามรบกวนข้าตอนกำลังบ่มเพาะพลัง ข้าน่ะ… หืม!” เซียนหวู่เซียงบ่นคร่ำครวญ เขาคิดว่าหลิงฮันเรียกเขาออกมาเพราะพบเจอภัยอันตรายอีกแล้ว
เพียงแต่เมื่อเห็นสมุนไพรที่อยู่ตรงหน้า เซียนหวู่เซียงก็ชะงักหน้าเปลี่ยนสีและอุทานออกมา “ผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์!”
หลิงฮันตะลึงและกล่าว “ผู้อาวุโสรู้จักสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำต้นนี้?” สมุนไพรทั้งหมดที่เขารู้มีเพียงสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปที่บันทึกอยู่ในตำรา
“ฮึ่ม ในฐานะเซียน แน่นอนว่าต้องรู้จักสมุนไพรเซียนทุกชนิดใต้ท้องฟ้านี้” เซียนหวู่เซียนกล่าวอย่างเหยียดหยาม
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “หากผู้อาวุโสสามารถทำลายรูปแบบอาคมนี้ได้ พวกเราจะสามารถนำมันไปปลูกไว้ในหอคอยทมิฬและเก็บเกี่ยวได้ในภายหลัง”
เซียนหวู่เซียงไม่กล่าวตอบหลิงฮันและจ้องมองไปยังรูปแบบอาคม ผ่านไปชั่วครู่เหงื่อหลายเม็ดก็ไหลออกมาจากหน้าผากของเขาก่อนจะอุทาน “รูปแบบอาคมสังหารใต้หล้า!”
“ทำลายได้รึไม่?” หลิงฮันรีบถาม เขาเองก็คือรู้ว่ารูปแบบอาคมสังหารนี้แข็งแกร่งขนาดไหน
“ไม่ได้!” เซียนหวู่เซียงส่ายหัว “ด้วยอำนาจทำลายล้างของรูปแบบอาคมนี้ เกรงว้าแม้แต่ราชาเซียนก็ต้องถูกสังหาร!” เขากล่าวด้วยสีหน้ามึนมน
นี่หมายความว่าพวกเขาทำได้เพียงมองสมุนไพรต้นนี้โดยไม่อาจเอื้อมมือไปหยิบ
แม้แต่ราชาเซียนก็อาจจะถูกสังหาร เช่นนั้นในโลกนี้คนที่จะทำลายรูปแบบอาคมนี้และเก็บเกี่ยวสมุนไพรที่อยู่ภายในได้คงจะมีเพียงหยิบมือ
ไม่เพียงต้องบ่มเพาะพลังจนบรรลุราชาเซียน แต่ยังต้องมีพลังต่อสู้ที่สูงกว่าหกดาว แปดดาว หรือแม้กระทั่งสิบดาว!
หลิงฮันครุ่นคิด ในเมื่อเขาในตอนนี้ยังไม่มีความสามารถพอที่จะเก็บเกี่ยวสมุนไพรต้นนี้งั้นก็ไม่ต้องเก็บมันมาสนใจและตั้งสมาธิไปกับเรื่องอื่นแทน เขาสะบัดมือนำเซียนหวู่เซียงกลับเข้าไปในหอคอยทมิฬ
เซียนหวู่เซียงคงรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก เขาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงตันตนที่แข็งแกร่งที่สุดใต้สวรรค์กลับต้องถูกหลิงฮันเรียกเข้าออกหอคอยทมิฬตามใจชอบ
หลิงฮันเลิกสนใจสมุนไพรและเดินมายังส่วนหลังของวิหารที่มีประตูทางเข้าชั้นสองตั้งอยู่
เมื่อหลิงฮันเดินตรงเข้าประตูไปผู้คนที่เดินนำเขามาก่อนก็หายไปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเขาก้าวเดินไปข้างหน้าแม้แต่เสียงฝีเท้าของคนอื่นก็เริ่มไม่ได้ยิน
จนในที่สุดพื้นที่โดยรอบก็เหลือเขาเพียงคนเดียว
สภาพแวดล้อมด้านข้างเปลี่ยนไป เขามาปรากฏตัวในห้องหินที่มีโต๊ะหินตั้งอยู่ด้านหน้า ด้านข้างเขาปรากฏนาฬิกาทรายที่ยังไม่เริ่มนับเวลา
“ทดสอบแบบสุ่ม จำแนกรูปลักษณ์สมุนไพร” เสียงอันไร้อารมณ์ดังขึ้นโดยไร้ “ยิ่งจำแนกสมุนไพรได้จำนวนมาก แต้มที่ได้ก็จะมากตามไปด้วย”
“เริ่ม!”
ยังไม่ทันทีหลิงฮันจะเตรียมตัว นาฬิกาทรายก็เริ่มนับเวลาพร้อมกับมีเงาสมุนไพรปรากฏขึ้นบนโต๊ะหิน
“หยาดน้ำตาตะวันทมิฬ”
“หญ้าเขี้ยววารี”
“……”
“รากโลหะเมฆาม่วง”
หลิงฮันตอบชื่อสมุนไพรอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เงาของสมุนไพรเปลี่ยนชนิด เขาสามารถเอ่ยชื่อของพวกมันออกมาได้ทันทีทันใด ดังนั้นเงาภาพสมุนไพรที่ปรากฏขึ้นจึงไม่มีหยุดชะงักและเปลี่ยนชนิดสมุนไพรไปมาอย่างรวดเร็ว
ทรายในนาฬิกาไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง จนเวลาผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมงในที่สุดทรายก็ไหลลงมาจนหมด
“ผ่าน” เสียงอันไร้อารมณ์กล่าว ‘พรึบ’ บนโต๊ะหินปรากฏแผ่นตราประทับหยก ในขณะเดียวกันบนหัวหลิงฮันก็ปรากฏเงารูปร่างนาฬิกาทรายที่เริ่มนับเวลา
ดูจากอัตราการไหลของนาฬิกาทรายคงนับเป็นเวลาราวๆเกือบสิบวัน
สิบวัน!
หลิงฮันเผยรอยยิ้ม