“กลองรบนี้สามารถปลดปล่อยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้ถึงระดับวารีนิรันดร์” หลิงฮันถือกลองรบโบราณเอาไว้ในมือ “เพียงแต่ว่า ในมือของจอมยุทธระดับดาราอำนาจที่แท้จริงของมันไม่สามารถถูกกระตุ้นใช้งานได้ ไม่เช่นนั้นหัวใจของข้าคงไม่ใช่แค่บาดเจ็บแต่ระเบิดกระจุยไปแล้ว”
“สิ่งนี้สมควรเป็นสมบัติล้ำค่าของตำหนักสาขาอังหยวน ต่อหน้าคนของตำหนักเป่าหลินอย่าเอามันออกมาใช้ดีกว่า ไม่งั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการปล่าวประกาศว่าข้าเป็นคนสังหารหลินจื่อหง”
“แต่พูดให้ถูกหลินจื่อหงไม่ได้ถูกข้าสังหารแต่เขาระเบิดตัวตายเอง” หลิงฮันพึมพำ
เขาแบ่งเวลาสำเร็จเก็บเกี่ยวสมุนไพรเป็นหกวัน วันที่เจ็ดเขาจะมุ่งหน้าไปยังจุดศูนย์กลางของชั้นสอง หากที่นั่นเป็นเหมือนกับวิหารแสงอรุณสันติที่ทำให้เขารู้แจ้งเพื่อดูดซับพลังได้ล่ะก็ พลังบ่มเพาะของเขาคงจะยกระดับขึ้นอีกขั้น
เพียงแต่ว่าชั้นที่สองนั้นแตกต่างจากชั้นแรก สัตว์อสูรไม่ใช่สิ่งที่หลิงฮันจะสามารถนำเข้าไปในหอคอยทมิฬได้เนื่องจากมันมีจิตสำนึก เขาจำเป็นต้องจัดการมันเสียก่อนถึงจะนำเข้าไปในหอคอยทมิฬได้ แต่ในเมื่อเขาจัดการมันไปแล้วเขาจะเอาพวกมันเข้าไปในหอคอยทมิฬทำไม?
สัตว์อสูรในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มีความสัมพันธ์กับสมุนไพร แทนที่พวกมันจะกินสมุนไพรพวกมันกลับดูดซับพลังของสมุนไพรเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งแทน
สัตว์อสูรส่วนใหญ่มีพลังระดับสุริยันจันทรา หลิงฮันสามารถโค่นล้มพวกมันได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ก็ยังมีบางส่วนที่เป็นสัตว์อสูรระดับดาราซึ่งค่อยข้างลำบากเล็กน้อยหากต้องปะทะกับสัตว์อสูรระดับดาราขั้นสูงสุด เมื่อพบกับสัตว์อสูรระดับนั้นหลิงฮันจึงเลือกที่จะหลอกล่อสัตว์อสูรให้ออกไปก่อนแล้วค่อยแอบกลับมาเก็บสมุนไพร
ในตอนที่ไม่มีใครอยู่รอบข้าง หลิงฮันลองนำกลองรบออกมาทดสอบดูทำให้รู้ว่าเขาในตอนนี้สามารถกระตุ้นให้กลองรบปลดปล่อยพลังโจมตีได้สูงสุดคือระดับดาราขั้นสูงสุด
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชั้นสองก็คือเต่าบรรพกาลระดับวารีนิรันดร์ ตัวของมันมีขนาดมหึมาราวกับขุนเขา ที่ด้านหลังของมันมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามปลูกเอาไว้ สมุนไพรที่ว่าคือต้นชาวิถีปราชญ์
ใบของมันสามารถนำมาต้มเป็นชาได้ แต่แน่นอนว่าคนที่ต้มจะต้องเป็นนักปรุงยาผู้เชี่ยวชาญ ชาที่ถูกต้มด้วยสมุนไพรชนิดนี้จะสามารถช่วยให้จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์และต่ำกว่านั้นหยั่งรู้ถึงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพี
หลิงฮันพยายามทุกวีถีทางแล้ว แต่ต่อหน้าตัวตนระดับวารีนิรันดร์ แค่ออร่าของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง
โชคดีที่เต่าบรรพกาลตนนี้ยังหลับอยู่ ไม่เช่นนั้นหากมันคิดจะสังหาร ที่ชั้นสองนี้คงไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลือรอด
หลิงฮันพยายามอยู่สองวัน แม้เซียนหวู่เซียงจะถูกโยนออกมาก็ยังไร้ผล ออร่าแห่งเซียนสามารถข่มขู่ให้ศัตรูหวาดกลัวได้ก็ได้ แต่เต่าบรรพกาลตนนี้กำลังหลับอยู่ มันจะหวาดกลัวได้อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้นบนหัวของเซียนหวู่เซียงก็ไม่มีนาฬิกาทราย ทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมาก็รู้สึกอ่อนแรงราวกับกำลังถูกเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ขับไล่ ดังนั้นหลิงฮันจึงรีบนำเขากลับเข้าหอคอยทมิฬทันทีพร้อมกับถูกอดีตเซียนตำหนิ
“ช่างเถอะ คนฉลาดย่อมไม่ฝืนดันทุรังกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้” หลิงฮันปลอมตัวเอง แต่ในขณะพูดใบหน้าของเขากลับบิดเบี้ยวด้วยความไม่เต็มใจ
หลังจากทำใจได้ หลิงฮันก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีสมุนไพรล้ำค่าจุดอื่น เขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากมายและมาถึงจุดศูนย์กลางของชั้นสอง
วิหารชำระล้าง (洗尘殿)
หลิงฮันมองไปยังอักษรสามตัวเหนือวิหารและพบว่ามีพลังลึกลับบางอย่างถูกผนึกเอาไว้ แต่หลิงฮันก็ต้องผิดหวังเนื่องจากเขาไม่สามารถรู้แจ้งหรือดูดซับพลังจากตัวอักษรทั้งสามได้
เขาหดหู่เป็นอย่างมาก การรู้แจ้งนั้นสามารถทำให้พลังบ่มเพาะของเขายกระดับขึ้นมาหนึ่งชั้นย่อยซึ่งช่วยย่นระยะเวลาบ่มเพาะของเขาหลายร้อยปี
เขาไม่ยินยอมและยังคงพยายามต่อไป เพราะอย่างไรเขาก็ยังมีเวลาเหลืออยู่ ไม่มีเหตุผลที่ต้องรีบ
หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไปก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆจนหลิงฮันต้องยอมถอดใจ
“พ่อรูปหล่อ!” เสียงอันอ่อนหวานดังขึ้น หลินอวีฉีได้เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับโบกมือ แผนเสื้อที่สะบัดไปมาเผยให้เห็นท่อนแขนอันขาวเนียนราวกับหยก ผู้ใดที่เห็นก็ต้องรู้สึกเร้าอารมณ์
โชคดีที่ในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มีจอมยุทธระดับดาราน้อยกว่าร้อยคน ต่อหน้าปรมาจารย์อย่างหลินอวีฉีใครจะกล้าแสดงท่าทีหื่นกาม?
หลิงฮันพยักหน้า ความคิดหนึ่งผุดเข้ามาในใจของเขา เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เขาก็กล่าวออกไป “ท่านอยากพบเจอวาสนารึไม่?”
หลินอวีฉีเผยสีหน้าสงสัยและกล่าว “เจ้าจะชวนพี่สาวขึ้นเตียงรึ? สำหรับพี่สาวคนนี้ขอแค่เจ้าพูดมาพี่สาวก็พร้อมจะมอบวาสนาให้เจ้าทุกคืน”
หลิงฮันเมินไม่สนใจ เขาชี้ไปยังอักษรสามตัวบนประตูวิหารและกล่าว “บนอักษรเหล่านั้นมีเจตจำนงที่ถูกทิ้งไว้โดยปรมาจารย์ หากรู้แจ้งถึงพวกมันได้ระดับพลังบ่มเพาะก็จะถูกยกระดับขึ้น”
“เจ้าพูดจริงหรือล้อเล่น?” หลินอวีฉีเคลือบแคลงใจ หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่ยกระดับพลังให้ตัวเองล่ะ? “พ่อรูปหล่อ คิดจะหลอกให้พี่สาวคนนี้หวั่นไหวเจ้ายังถือว่าอ่อนหัด!”
“เพียงแต่ว่า ไหนๆเจ้าก็กล่าวมาแล้วพี่สาวจะยอมตามน้ำด้วยก็ได้”
หลิงฮันกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน!”
กล่าวจบเขาก็เดินเข้าสู่วิหาร เมื่อเข้ามาภายในวิหารหลิงฮันพบว่านาฬิกาทรายบนศีรษะได้หยุดเดินทันที
หรือก็คือสัญญาณบ่งบอกว่าให้เตรียมตัวรับการทดสอบอีกครั้ง
……
หลินอวีฉีมองหลิงฮันเดินเข้าไปในวิหาร ใบหน้าอันงดงามของนางเผยถึงความรู้สึกสับสน
นางรู้ว่าหลิงฮันไม่น่าจะใช้วิธีอ่อนหัดเช่นนั้นในการเรียกร้องความสนใจจากนาง… ดังนั้นนางจึงลองทำตามที่อีกฝ่ายกล่าว
หลินอวีฉีแหงนหน้ามองขึ้นด้านบน ในขณะที่กำลังเพ่งสมาธิไปยังอักษรทั้งสาม นางรู้สึกราวกับว่าอักษรเหล่านั้นมีพลังบางอย่างแฝงเอาไว้ ปราณก่อเกิดในร่างของนางเดือดพล่านราวกับจะปะทุออกมา
เป็นอย่างที่หลิงฮันกล่าวไว้จริงๆ!
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ร่างอันเพรียวบางของนางได้ปลดปล่อยแสงสว่างอันเบาบางออกมาพร้อมกับพลังบ่มเพาะที่ค่อยๆยกระดับสูงขึ้น
ถ้าหลิงฮันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาจะต้องโอดครวญให้แก่ความไม่ยุติธรรมแน่นอน
ในชั้นแรกเขาใช้เวลาถึงสามวันในการรู้แจ้งอักษรทั้งสามของวิหารแสงอรุณสันติ แต่เหตุใดพอเป็นกรณีของหลินอวีฉี นางถึงรู้แจ้งได้รวดเร็วกว่าเขาขนาดนี้
“ระดับดาราขั้นต้นชั้นสูงสุด!” หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูปหลินอวีฉีก็อุทานด้วยความตะลึง “น้องชายรูปหล่อ เจ้าช่างดีกับพี่สาวยิ่งนัก แม้แต่วาสนาเช่นนี้เจ้าก็ยังมอบให้พี่สาว!”
นางรีบเดินเข้าไปในวิหารอย่างรวดเร็ว ในชั้นแรกแม้นางจะใช้เวลาค่อนข้างนานในการสำรวจและเก็บเกี่ยวสมุนไพร แต่เมื่อมาถึงชั้นสอง ด้วยเวลาที่มีจำกัดทำให้นางต้องเร่งรีบขึ้นไปให้ถึงชั้นห้าเพื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพรล้ำค่า
นี่คือเป้าหมายหลักในการเดินทางครั้งนี้ของนาง