ปรมาจารย์ระดับดารานับร้อยพยายามอย่างสุดความสามารถ อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สรพลังจำนวนมากปลดปล่อยอำนาจออกมาอย่างเต็มที่ คลื่นปราณก่อเกิดอันน่าสะพรึงกลัวทำให้หัวใจของหลิงฮันสั่นสะท้าน
พลังโจมตีของปรมาจารย์นับร้อยแทบจะใกล้เคียงกับระดับวารีนิรันดร์
มีปรมาจารย์จำนวนไม่น้อยที่ถือครองสมบัติระดับวารีนิรันดร์ ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถกระตุ้นใช้งานสมบัติให้ปลดปล่อยอำนาจของระดับวารีนิรันดร์ออกมาได้ แต่อำนาจที่ปลดปล่อยออกมาก็ไม่ได้ห่างจากระดับนั้นเท่าไหร่
หากเป็นนอกเขตแดนลี้ลับ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์นับร้อย ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์หรือสัตว์อสูรก็คงเลือกที่จะเผ่นหนี แต่ในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ต่างออกไป สัตว์อสูรของที่นี่มีความคิดเดียวคือสังหารผู้บุกรุก
สัตว์อสูรตั๊กแตรสามารถทำปรมาจารย์จำนวนหนึ่งบาดเจ็บ แต่ด้วยจำนวนที่ต่างกันเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะสังหารใครสักคนได้
เพียงแต่ว่าสัตว์อสูรยักษ์ตนนี้ก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ขนาดเวลาผ่านไปหนึ่งวันก็มันยังไม่ตกตาย ใบหน้าของปรมาจารย์ทุกคนเปลี่ยนเป็นหน้าเกลียดเนื่องจากพวกเขาสามารถอยู่ในชั้นที่ห้าได้โดยมีเวลากำจัด
หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาคงไม่สามารถสังหารสัตว์อสูรยักษ์ตนนี้ได้
“ทุกคนโจมตีร่วมกัน หากยังปล่อยไว้แบบนี้จะไม่มีใครได้ส่วนแบ่งทั้งนั้น!” ใครบางคนตะโกน
“อืม!” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
หากมีใครได้ครอบครองบุปผามกร หนึ่งในสี่ตระกูลหรือตำหนักสาขาใดสาขาหนึ่งก็คงมีอำนาจแข็งแกร่งขึ้น แต่นั่นก็ยังถือว่าเป็นอำนาจโดยรวมของรากฐานตำหนักเป่าหลิน
เหล่าปรมาจารย์ไม่แบ่งแยกกลุ่มกันอีกต่อไป พวกเขาเคลื่อนไหวตามรูปแบบอาคมบางอย่างที่ทำให้พลังต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมาอีกขั้น
ผลลัพธ์จากการร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์คือสัตว์อสูรตั๊กแตนไม่สามารถตอบโต้ได้อีกต่อไป ขาหน้าอันแหลมคมของมันถูกบดขยี้อย่างรวดเร็ว แม้แต่หัวกระโหลกของมันก็ยังถูกเจาะเป็นรูจนตกตายในที่สุด
เมื่อสัตว์อสูรยักษ์สิ้นชีพ โลหิตสีดำของมันไหลนองไปทั่วพื้นดินพร้อมกับปลดปล่อยออร่าอันชั่วร้ายออกมาจนพื้นที่ในบริเวณนี้แห้งแล้งและสมุนไพรไม่สามารถงอกเงยได้อีกต่อไป
การร่วมมือกันของเหล่าปรมาจารย์เมื่อครู่สิ้นสุดทันที พวกเขาหันกลับมาต่อสู้กันอีกครั้งเพื่อแย่งชิงบุปผามกร
หลิงฮันจ้องมองการต่อสู้จนเริ่มเบื่อหน่าย จากสถานการณ์ที่เห็นคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าไปแย่งชิงสมุนไพรพิษต้นนั้น ดังนั้นเขาจึงเลิกสนใจและหันหลังตั้งใจคิดจะออกสำรวจบริเวณอื่น
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆหัวใจของหลิงฮันก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกเกินพรรณนา เหงื่อจำนวนมากไหลย้อยออกมาจากหน้าผากของเขา
มีใครบางคนปรากฏตัวที่ด้านหลังของเขา!
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่
หลิงฮันเกือบจะหลบหนีเขาไปในหอคอยทมิฬแต่ก็พยายามฝืนรั้งตนเองเอาไว้ หากอีกฝ่ายคิดจะสังหารเขา อีกฝ่านคงลงมือโดยที่ไม่ปรากฏตัวออกมาให้เขารู้ตัว เมื่อคิดเช่นนั้นหลิงฮันจึงค่อยๆหันหลังกลับไปอย่างช้าๆ
ในขณะที่หันหลัง แผ่นหลังของหลิงฮันได้เปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อเนื่องจากแรงกดดันอันหนักหน่วงมหาศาล
หลิงฮันรู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังของเขานั้นจะต้องแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาได้ ไม่เช่นนั้นสัญชาตญาณของตัวเขาคงไม่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้
เมื่อเขาหันหลังกลับมา การต่อสู้ด้านล่างหุบเขาก็ยังคงกำเนินต่อไปอย่างดุเดือด แต่ด้านหน้าของเขากลับมีบางสิ่งยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง
นี่มัน… ใช่มนุษย์ที่มีชีวิตจริงๆรึ?
ร่างเบื้องหน้าเขาคือชายชราหนวดขาว แต่ที่แปลกประหลาดคือบนใบหน้าของเขาไม่มีดวงตาโดยที่หลงเหลือไว้เพียงเบ้าตาอันมืดมิดสองรูที่ดูราวกับจะกลืนกินได้ทุกสรรพสิ่ง
ชายชราสวมชุดคลุมสีเหลืองอ่อน กลิ่นอายของอีกฝ่ายนั้นให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่แห่งบรรพกาล แต่เนื่องจากเบ้าตาที่ไร้ลูกตาของอีกฝ่ายหลิงฮันจึงรู้สึกขนหัวลุก
ตอนนี้แผ่นหลังของหลิงฮันเปียกท่วมไปเป็นเหงื่อ แม้แต่จะหายใจเขายังหายใจได้ไม่ทั่วท้อง
ชายชราเองก็เห็นหลิงฮันหันหลังมาเช่นกัน เขากล่าวออกไป “สุนัขของข้า เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่?”
หากเป็นสถานการณ์อื่น หลิงฮันตงจะหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำถามเช่นนี้ แต่เมื่อชายชราเปิดปากพูด หลิงฮันพบว่าอีกฝ่ายไม่มีฟันแม้แต่ซี่เดียว
ไม่สิ ไม่ใช่แค่ฟัน แม้แต่ลิ้นหรือคอหอยก็ไม่มี!
เมื่อมองไปยังดวงตาที่กลวงโบ๋ของชายชรา หลิงฮันคาดเดาได้ว่าชายชราผู้นี้อาจเป็นเพียงผิวหนังมนุษย์ที่เดินได้!
เขาพยายามสงบสติและกล่าว “รุ่นเยาว์ไม่เคยพบเห็นสุนัขของผู้อาวุโส”
“โอ้ หากเจ้าไม่เห็นงั้นข้าคงต้องถามคนอื่น” ชายชรากล่าว เขาเดินผ่านหลิงฮันและก้าวลงปล่างหุบเขา เพียงแค่การก้าวท้าวก้าวเดียวชายชราก็สามารถเคลื่อนที่ไปได้หลายสิบไมล์
การเคลื่อนที่ข้ามช่องว่างมิติ!
หลิงฮันตกตะลึง แต่เมื่อเขามองไปยังบริเวณส่วนหลังศีรษะของร่างกายชายชราเขาก็ต้องตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมเนื่องจากเขาเห็นรอยเย็บอย่างเด่นชัด เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ชายชราคนนี้มีร่างกายเพียงผิวหนัง!
นี่มันบ้าบออะไรกัน!
ร่างกายหลงเหลือเพียงผิวหนังแต่กลับสามารถเดินไปมาได้ราวกับเป็นคนปกติ ที่แปลกกว่านั้นคืออีกฝ่ายยังกล่าวเรื่องตลกออกมาว่า ‘เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่’ อีกด้วย
ท่ามกลางหุบเขา การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
หานเถา ดาวเด่นที่กำลังเป็นที่จับตามองของตระกูลหาย เขาบ่มเพาะพลังมาเพียงเก้าแสนปีก็สามารถบรรลุระดับดาราขั้นสูงสุด! แต่ก็แน่นอนว่าที่เขาสามารถบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วขนาดนี้ก็เป็นเพราะตระกูลมุ่งเน้นฝึกฝนเขา
น่าเสียดายที่ถึงแม้เขาจะมีพรสวรรค์และทรงพลัง ตระกูลอื่นกับตำหนักสาขาอื่นเองก็ไม่อ่อนแอ พลังของเขาไม่สามารถอยู่เหนือทุกคนได้ต่อให้จะนำสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของตระกูลมา
ในขณะที่เขากำลังหงุดหงิดอยู่นั่นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของเขา “สุนัขของข้า เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่?”
สุนัข? สุนัขน้องสาวเจ้าสิ!
หานเถาที่กำลังอารมณ์ไม่ดี เมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้อเข้ามาในหูเขาก็แทบจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นอัจฉริยะ เสี้ยววินาทีต่อมาร่างของเขาก็ชะงักแน่นิ่งด้วยความหวาดกลัว
ใครกัน? อีกฝ่ายถึงกับสามารถเข้ามาใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว!
หานเถาตกตะลึงจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขาค่อยๆหันหน้าไปด้านหลังพร้อมกับพบเจอชายชราหนวดขาวที่ดวงตากลวงโบ๋ เขารู้สึกขนหัวลุกจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก
แม้เขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับดาราที่มีประสบการณ์เผชิญหน้ากับภัยอันตรายมานับไม่ถ้วน ชายชราที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เขาอยากจะกรีดร้องออกมาอย่างแท้จริง
ไม่ใช่ว่าเขาหวาดกลัวต่อรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย แต่เป็นพลังอันน่าสะพรึงกลัวของชายชราต่างหากที่ทำให้เขาหวาดกลัว ก่อนหน้านี้แม้แต่หลิงฮันก็ยังรู้สึกจนเข่าอ่อนเนื่องจากพลังที่แข็งแกร่งเกินไปของชายชรา