ทุกคนออกมาจากหอคอยทมิฬ พวกเขาเก็บตัวบ่มเพาะพลังมากว่าหลายปีแล้ว จึงจำเป็นต้องพักผ่อนกันบ้าง การบ่มเพาะพลังตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่
เนื่องจากอุปกรณ์บินแหวกเมฆาถูกดัดแปลงให้เหาะเหินบนอวกาศแล้วมันจึงยากที่จะควบคุมให้ลอยใต้ท้องฟ้าของดวงดาว พวกเขาร่อนลงที่จักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์ซึ่งหลิงฮันทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย
ที่คุ้นเคยเพราะจักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์อยู่ในดาวเหอหนิง แต่ที่ไม่คุ้นก็เพราะเขาไม่เคยมายังจักรวรรดิราชวงษ์นี้มาก่อน
ด้วยพลังของหลิงฮังในตอนนี้ เพียงพอแล้วที่จะเหยียบย่ำจักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์โดยไร้ผู้ใดต่อกร
เพียงแต่ว่าหลิงฮันไม่ต้องการสร้างปัญหาใดๆและตั้งใจจะกลับจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะทันที
เขาไม่ได้พบจักรพรรดินีมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว เขาอยากพบเจอนางเป็นอย่างมาก
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์รู้สึกหึงหวง นางทนไม่ไหวจนต้องบิดข้อมือหลิงฮันเพื่อระบายอารมณ์
หลิงฮันไม่กังวลว่าสตรีทั้งสองจะมีความบาดหมางกันในอนาคต ด้วยอำนาจอันสูงส่งของจรักพรรดินีแห่งดารา เกรงว่านอกจากฮูหนิวแล้ว สตรีทุกคนคงต้องยอมสิโรราบนับถือนางเป็นพี่สาว
กลุ่มของพวกเขาเดินผ่านอาณาเขตของจักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์ พวกเขาไม่ก่อความเดือดร้อนใดๆและทำตัวไม่โดดเด่น ผ่านไปสามวันพวกเขาก็มาถึงเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง แต่เมืองนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดเล็กน้อย ผู้คนในเมืองนี้มีจำนวนมากและปรมาจารย์ก็มีอยู่พอสมควร
คำว่า‘ปรมาจารย์’นั้นในกรณีของจักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์แล้วหมายถึงจอมยุทธระดับดับสุริยันจันทรา
แน่นอนว่าหลิงฮันไม่เก็บปรมาจารย์เช่นนั้นมาใส่ใจ ทั่วทั้งดาวเหอหนิง มีจอมยุทธเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทำให้เขาสนใจ
ช่างบังเอิญที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กับติงผิงกำลังจะทะลวงผ่านระดับพอดี หลิงฮันต้องหยุดการเดินทางเอาไว้และให้ทั้งสองคนไปยังสถานที่ที่ไร้ผู้คนเพื่อรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
คนในกลุ่มที่เหลือตามหาโรงน้ำชาเพื่อนั่งรอ บททดสอบทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์มีระยะเวลาครึ่งวัน รวมกับเวลาไปกลับแล้วคงต้องใช้เวลาราวๆเกือบหนึ่งวันเต็ม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาสถานที่นั่งรอ
ยิ่งกว่านั้นสถานที่อย่างเช่นร้านอาหารหรือโรงน้ำชายังเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการหาข่าวสารอีกด้วย หลิงฮันจากดาวดวงนี้ไปหลายปีแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่อยากจะรับรู้สถานการณ์ในปัจจุบัน
ข่าวที่พวกเขาได้ยินมาคือเหตุผลที่เมืองนี้มีผู้คนอยู่จำนวนมากก็เป็นเพราะมีสมบัติบางอย่างปรากฏขึ้นมา
สมบัติที่ว่าถืออะไรยังไม่มีใครรู้ แต่ไม่กี่เดือนที่ผ่านว่าได้มีแสงสว่างทะลวงผ่านผืนดินขึ้นสูงท้องฟ้าโดยตำแหน่งของแสงที่ว่าก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ดังนั้นเหล่าปรมาจารย์ที่รับรู้ข่าวจึงค่อยๆปรากฏตัวขึ้นที่เมืองนี้
“อาจารย์ พวกเราขอไปหาอะไรสนุกๆทำหน่อยได้ไหม?” เจียนเยว่ซวนกล่าว ใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยความตื่นเต้น
เขาเป็นบุรุษมากรักที่แม้จะแต่งงานกับมีบุตรสาวแล้ว ต่อให้ผ่านไปหมื่นปีก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
เฉินหลุยเจียงและคนอื่นๆเองก็อยากไปเที่ยวเล่นเช่นกัน ที่ดาวหยุนติ่งพวกเขานับว่าเป็นเพียงจอมยุทธที่แข็งแกร่ง แต่ที่นี่พวกเขาคือปรมาจารย์ ดังนั้นพวกเขาจึงตื่นเต้นที่อยากจะแสดงอำนาจของตนเอง
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “จะไปก็ไป แต่ต้องกลับมาหลังจากนี้อีกหนึ่งวัน”
“ขอรับอาจารย์!” เฉินหลุยเจียงและศิษย์คนอื่นๆกล่าวพร้อมกับลากจิ่วเยาไปด้วย พลังต่อสู้ของศิษย์น้องเล็กคนนี้ยอดเยี่ยมมาก พลังบ่มเพาะของเขาอยู่ห่างจากขั้นสมบูรณ์เพียงแค่เส้นบางๆกั้นสามารถกล่าวได้ว่าเขาเป็นแทบจะทัดเทียมกับปรมาจารย์ระดับสุริยันจันทรา
ชางเย่ เหยียนเฮิงเหอและคนอื่นๆก็ตามไปด้วยเพื่อดูสถานการณ์
“อาจารย์ปู่ ข้าจะไปเล่นกับเจ้ากระต่ายและโสม” นิสัยเจียนเสี่ยวหลิงเองก็เหมือนกับบิดาของนาง นางไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้
“ไปเถอะ” หลิงฮันสะบัดมือ
หลิงฮันและพี่ชายทั้งสองของเขานั่งจิบชาพูดคุยกันเรื่องวิถีวรยุทธ เขาพยายามชี้แนะทั้งสองเกี่ยวกับการทะลวงผ่านไปยังขั้นสมบูรณ์ของพลังบ่มเพาะ
หลิงฮันถอนหายใจ พรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญจริงๆ ยิ่งระดับพลังสูงขึ้นความแตกต่างก็ยิ่งชัดเจน
เมื่อพูดถึงพรสวรรค์แล้ว ไม่สามารถดูถูกกู่ต้าวอี้ได้เลยจริงๆ อีกฝ่ายสร้างร่างกายในชีวิตที่สิบขึ้นมาด้วยผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ทั้งเก้าผล ด้วยสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับราชาเซียนที่ผสานเข้ากับร่างกาย กายหยาบของอีกฝ่ายจะมีความสามารถที่น่าอัศจรรย์ขนาดไหน?
“แบบนี้ยิ่งทำให้จิตวิญญาณสู้รบของข้าเดือดพล่านขึ้นมาหน่อย ในระดับพลังเดียวกันมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้ข้าได้ ช่างโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน”
หลิงฮันกล่าวในใจ คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์คือทักษะบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุด แถมเขายังเข้าใจที่กฎแห่งอำนาจสวรรค์ที่ลึกลับ เมื่อรวมเข้ากับพลังทำลายล้างของดาบอสูรนิรันดร์ คงยากที่จะหาใครทัดเทียมเขา
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เจียนเสี่ยวหลิงก็กลับมาพร้อมกับเจ้ากระต่ายและโสมเฒ่า
หลิงฮันประหลาดใจมาก การที่ทั้งสามกลับมาเร็วแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน
เมื่อเขากวาดสายตามองทั้งสาม เจียนเสี่ยวหลิง เจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าต่างก็มีท่าทีรนรานหลบสายตาเขา หลิงฮันรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติและกล่าวออกไป “เกิดอะไรขึ้น?”
“ฮะฮะฮะ” เจียนเสี่ยวหลิงไม่ค่อยหวาดกลัวหลิงฮันที่เป็นอาจารย์ปู่ของนาง เหตุผลหลักก็เพราะหลิงฮันยังเยาว์วัยเกินไปซึ่งอาจจะอายุน้อยกว่านางด้วยซ้ำ ในความคิดของนางหลิงฮันเปรียบเสมือนพี่ชาย
“ฮันน้อย ครั้งนี้จะโทษพวกเราก็ไม่ได้ พวกนั้นมาดูถูกพวกเราก่อน นายท่านโสมกับพี่ชายกระต่ายถึงได้ลงโทษโดยการเตะไข่ของเจ้าโง่นั่นคนละข้าง” โสมเฒ่ากล่าว
หลิงฮันพยักหน้า “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พวกเจ้าก็ไม่ผิด แม้พวกเราจะไม่รังแกใครแต่ก็ห้ามยอมให้ใครรังแก”
“โอ้ ช่างปากกล้านัก!” เสียงเยาะเย้ยดูถูกดังขึ้นจากทางประตูเข้าโรงน้ำชา
“หืม ทำไมเสียงนั่นดูคุ้นๆจัง” ใครบางคนอุทาน
“อะไรกัน นั่นมันพยัคฆ์เจ็ดแห่งตระกูลหวัง!”
“ว่าไงนะ หวังฉวนฉีงั้นรึ?”
“รีบหนีเร็ว ที่ใดมีหวังฉวนฉี ที่นั่นจะต้องเกิดเหตุการณ์นองเลือด!”
พริบตาเดียวนั้นเอง แขกคนอื่นๆของโรงน้ำชาก็วิ่งหายไปด้วยความเร็วแสง
พวกหลิงฮันนั่งอยู่ชั้นแรกของโรงน้ำชา ดังนั้นแค่พวกเขามองไปยังประตูก็เห็นแล้วว่าคนที่ปรากฏตัวคือใคร
เขาเป็นชายร่างกำยำที่สวมชุดคลุมหนังพยัคฆ์ หัวพยัคฆ์ที่ถูกสวมอยู่เหนือศีรษะของเขาปลดปล่อยอำนาจลึกลับออกมาราวกับมีชีวิต
“คนที่บังอาจทำร้ายคนของตระกูลหวัง คิดว่าจะสะบัดก้นหลบหนีไปได้ง่ายๆ?” หวังฉวนฉีกล่าวอย่างเย็นชา