ก่อนหน้านี้หลิงฮันไม่สามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของเฒ่าสวีได้ แต่ตอนนี้หลิงฮันพบว่าเฒ่าสวีจะต้องเป็นปรมาจารย์ระดับดาราแน่นอน แถมยังเป็นระดับดาราขั้นสูงหรืออาจจะขั้นสูงสุดอีกด้วย เนื่องจากเขาในตอนนี้ก็ยังไม่สามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของอีกฝ่าย!
เพียงแต่ว่าพลังบ่มเพาะของเฒ่าสวีนั้นดูเหมือนกับถูกผนึกเอาไว้ทำให้ดูอ่อนแรงกว่าปกติ
“ผู้อาวุโส” หลิงฮันเอ่ยทัก
“เจ้ากลับมาแล้ว” เฒ่าสวีไม่แสดงท่าทีประหลาดใจใดๆ “ชายชราได้ยินว่าเจ้าสังหารจ้าวเจี้ยนไป๋ด้วยดาบเดียว เช่นนั้นแล้วพลังต่อสู้ของเจ้าสมควรเทียบเท่าระดับดาราขั้นสูง”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “รุ่นเยาว์เดินทางไปยังเขตดวงดาวแสงคงกระพันและฝึกฝนอยู่ที่นั่นเป็นเวลากว่าสิบปี”
“ในเมื่อเจ้าบรรลุระดับดาราแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสอีกต่อไป อีกอย่างชยาชราผู้นี้ก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้นด้วย” เฒ่าสวีกล่าว เขาบอกเองแท้ๆว่าตนเองไม่ได้แก่แต่กลับเรียกแทนตนเองว่าชายชรา
หลิงฮันส่ายหัว “ในความคิดของข้า ไม่ว่าเมื่อผู้อาวุโสก็ยังคงเป็นผู้อาวุโส”
เฒ่าสวีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ในที่เขาก็ลืมตาและพยักหน้า “เจ้าเป็นคนดี ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ”
“ผู้อาวุโสเคยมองคนผิดด้วย?” หลิงฮันสงสัย
“เหอๆ แน่นอนอยู่แล้ว ชายชราอยู่ที่นี่มากนานกว่าหมื่นปีและชี้แนะรุ่นเยาว์มามากมาย แต่ไม่ว่าคนใดก็ล้วนแต่ไม่สำนึกบุญคุณ พอระดับพลังบ่มเพาะสูงขึ้นแล้วพวกเขาก็ไม่เคยโผล่หน้ามาหาข้าอีกเลย” เฒ่าสวีถอนหายใจ
หลิงฮันยิ้ม “ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องรอคอยอีกต่อไปแล้ว” เขานำแก่นไขกระดูกหยกออกมา
“กะ กะ แก่นไขกระดูกหยก!” จู่เฒ่าสวีก็ลุกพรวดขึ้นยืน
เฒ่าสวีคว้าไปที่แก่นไขกระดูกหยก “เจ้าหนู รอเจ้าอยู่ที่นี่หนึ่งคืน ข้ามีบางอย่างจะพูดคุยกับเจ้า”
เมื่อกล่าวประโยคนี้เสร็จ เฒ่าสวีก็เข้าไปยังห้องตำรา ที่น่าแปลกก็คือเขาเปิดช่องลับของห้องตำราและลงไปยังชั้นใต้ดิน
หลิงฮันไม่ได้ตามไป เฒ่าสวีบอกเอาไว้แล้วว่าให้เขารออยู่ที่นี่
ถึงแม้เขาจะสงสัยมากแค่ไหน แถมพลังบ่มเพาะของเฒ่าสวีก็ยังถูกผนึกเอาไว้ทำให้ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ก็ตาม หลิงฮันก็ยังเลือกที่จะทำตามที่เฒ่าสวีบอก เขาจะเสียมารยาทกับคนที่ทำดีกับเขาได้อย่างไร?
หนึ่งคืนผ่านพ้นไปเฒ่าสวีก็ปรากฏตัวอีกครั้ง บนใบหน้าของเขาปรากฏร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยแต่ก็แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นและความสุข
“มานั่งข้างในก่อน!” เฒ่าสวีพาหลิงฮันเข้ามายังห้องตำราและยกเก้าอี้ให้กับหลิงฮัน
“ชื่อของข้าคือ… สวีเหลิน” เฒ่าสวีเอ่ยนามของตนเอง
*ก่อนหน้านี้ผู้แปลอีกคนแปลไว้ว่าฉือเหลิน ผมขอเปลี่ยนะครับ*
สวีเหลิน?
อัจฉริยะที่เปิดสวรรค์ขึ้นมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อสามแสนปีก่อน ด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นเขาได้ใช้เวลาเพียงหนึ่งพันปีในการบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด สวีเหลินคนนั้นน่ะรึ?
ไม่น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายกล่าวว่าตนเองไม่ได้แก่ขนาดนั้น ด้วยอายุสามแสนกว่าปีหากเทียบกับจ้าวเจี้ยนไป๋และผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแล้ว สวีเหลินนับว่าเยาว์วัยมาก
“ฮ่าๆ หลังจากที่ข้าบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด ข้าก็ออกจากดาวเหอหนิงไปยังโลกกว้างเพื่อฝึกฝนตนเอง” สวีเหลินกล่าว “เพียงแต่ว่าเนื่องจากข้าไม่มีทักษะบ่มเพาะระดับดารา พลังของข้าจึงติดขอขวดอยู่เพียงเท่านั้น”
“หลังจากออกเดินทางเป็นเวลากว่าสามหมื่นปี ณ โบราณสถานแห่งหนึ่งข้าก็ค้นพบทักษะหกธาตุผสานที่สอนให้เจ้าและทะลวงผ่านสู่ระดับดารา”
“ตั้งแต่นั้นมาข้าก็พบเจอกับวาสนามากมาย ขาบรรลุระดับดาราขั้นสูงสุดด้วยเวลาแสนปีและได้พบกับรักแท้ของข้า”
แววตาของชายชราอ่อนโยนในขณะที่ระลึกถึงความหลัง “พวกเราออกเดินทางฝึกฝนไปด้วยกัน แต่เพราะความดื้อรั้นของข้า ข้าจึงเข้าไปยังดินแดนโบราณที่อันตรายแห่งหนึ่ง ผลลัพธ์ก็คือนางถูกคำสาปจนแน่นิ่งไปราวกับเป็นหิน”
“ข้าใช้พลังงของข้าคงสภาพพลังชีวิตของนางเอาไว้และออกตามหาวิธีรักษาไปทั่วทุกที่ หลังจากเวลาผ่านพ้นไปอย่างยาวนานข้าก็พบว่าวิธีเดียวที่จะรักษานางได้คือใช้แก่นไขกระดูกหยกขับไล่คำสาปบนตัวนาง”
“แต่ในตอนนั้นพลังของข้าก็เหือดแห้งจนแทบจะไม่สามารถคงสภาพพลังชีวิตของนางเอาไว้ได้อีกต่อไป”
“ข้าเคยได้ยินมาว่ามีสมบัติที่เรียกว่าโลงศพเก้าพิภพเยือกแข็งอยู่ในพระราชวังของจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะ ศพที่ถูกเก็บอยู่ในโลงศัพนั่นจะไม่มีทางเน่าเปื่อยไปตลอดกาล แต่ถ้าหากนำร่างของคนที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าไป พลังชีวิตของร่างนั้นก็จะหยุดนิ่งไม่ลดลงเสมือนกับถูกแช่แข็งเอาไว้”
“ข้ากลับมายังดาวเหอหนิงและวางแผนลอบขโมยสมบัติที่ว่า แต่สุดท้ายก็ถูกจักรพรรดินีกำราบเสียก่อน”
“เพียงแต่ว่าหลังจากจักรพรรดินีได้ยินเรื่องราวของข้า นางได้ให้ยืมโลงศพเก้าพิภพเยือกแข็งมาแต่ต้องแลกกับการผนึกพลังบ่มเพาะของข้าและห้ามข้าออกไปจากที่แห่งนี้เด็ดขาด ดังนั้นข้าจึงขอความช่วยเหลือจากคนที่ผ่านมาที่นี่และหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้แก่นไขกระดูกหยกมาอยู่ในมือ”
สวีเหลินกล่าวมาอย่างยืดยาวในที่สุดก็หยุดกล่าว
หลิงฮันเข้าใจทันทีว่าทำใมปรมาจารย์อย่างสวีเหลินถึงได้ตกอยู่ในสภาพอ่อนแรงเช่นนี้แถมยังไม่ออกไปไหนมาไหนอีก
การลงโทษเช่นนี้ก็สมกับนิสัยของจักรพรรดินี แต่นางยังถือว่าปรานีอยู่พอสมควร
แทนที่จะสังหารสวีเหลินกับสตรีของเขา นางกลับเลือกที่จะให้ยืมโลงศพเก้าพิภพเยือกแข็งและมอบความหวังอันริบหรี่ให้แก่สวีเหลิน
หลิงฮันพยักหน้าเข้าใจและกล่าว “เมื่อจักรพรรดินีออกมา ข้าจะบอกนางให้ปลดผนึกที่ผนึกพลังบ่มเพาะของผู้อาวุโสอยู่ออกให้เองและพลังของท่านก็จะกลับมาเป็นเหมือนปกติ”
สวีเหลินดีใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “จักรพรรดินีงั้นรึ… นางไม่มีทางฟังคำพูดของเจ้าแน่นอน!”
หลิงฮันหัวเราะแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
หลังจากพูดคุยกับสวีเหลินไปอีกสักพัก อดีตอัจฉริยะผู้นี้ก็สนใจที่จะเข้าร่วมกับสำนักละอองดาราเช่นกัน หากสามารถปลดผนึกออกได้จริงๆ เขาก็จะออกเดินทางไปพร้อมกับหลิงฮัน
หลิงฮันเดินทางออกจากเมืองจักรพรรดิ ด้วยพลังที่แข็งแกร่งเกินไปของเขาในตอนนี้ทำให้ผู้คนในเมืองจักรพรรดิไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างสงบจิตสงบใจ
ดังนั้นกลุ่มของพวกเขาจึงตัดสินใจออกเดินทางไปยังจักรวรรดิต้าหลิง
จักรวรรดิไม่สามารถคงอยู่ได้หากไร้ผู้นำ ซึ่งในที่สุดราชาของพวกเขาก็กลับมาแล้ว