ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เวลาห้าสิบปีไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก
สำหรับจอมยุทธที่บรรลุระดับพระเจ้าแล้ว อย่าว่าแต่ห้าสิบปีเลย แม้จะผ่านไปห้าพันปีก็ยังไม่สามารถทะลวงผ่านได้แม้แต่ชั้นพลังย่อย เพียงแต่ว่าภายในจักรวรรดิต้าหลิง ห้าสิบปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก
จักรพรรดิพิรุณบรรลุระดับดาราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด
หลิงฮันบรรลุระดับดาราขั้นกลางชั้นสูงสุด
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์บรรลุระดับดาราขั้นต้นชั้นสูงสุด
ติงผิงและจิ่วเจาบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์
เฟิงโปหยุน มู่หลงชิง เจียนเยว่ซวน คังซิวหยวน เฉินหลุยเจียง หยุนหย่งหวัง เฮ่อเหลียนเทียนหยุน อสูรศิลา เจ้ากระต่าย โสมเฒ่าและจักรพรรดิจอมอสูรบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด
ที่จริงก็ยังมีเหยียนเฮิงเหอ ช่างเย่และคนอื่นๆที่พัฒนาขึ้นมาเช่นกันแต่ไม่อาจเทียบได้กับเหล่าคนที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ คนที่พลังบ่มเพาะไม่มีการพัฒนาใดๆเลยมีเพียงจักรพรรดินีคนเดียวเนื่องจากนางบรรลุขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุดของระดับดาราแล้ว นางจะยกระดับพลังได้ก็คือต้องทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์เท่านั้น
ด้วยการที่ไม่มีทักษะบ่มเพาะพลัง ต่อให้นางเป็นอัจฉริยะและมีการช่วยเหลือจากต้นสังสารวัฏนางก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยหมื่นปีในการทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์
น่าเสียดายที่ไม่มีใครสามารถทะลวงผ่านระดับดาราได้ แม้กระทั่งเมล็ดพันธุ์สองคนที่เขาเลือกมาก็เช่นกัน
สิ่งที่หลิงฮันพึงพอใจมากที่สุดก็คือดาบอสูรนิรันดร์ได้แข็งแกร่งเกินเขาไปแล้ว ในตอนนี้มันกลายเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเอ็ดเรียบร้อย แม้กระนั้นหลิงฮันก็รู้สึกหดหู่ไปพร้อมๆกัน กล่าวได้ว่าทรัพยากรทั้งหมดของดาวเหอหนิงได้ถูกใช้เพื่อพัฒนาดาบอสูรนิรันดร์ แต่ผลลัพธ์คือระดับของดาบอสูรนิรันดร์เพิ่มขึ้นมาเพียงหนึ่งระดับเท่านั้น หากจะขัดเกลาให้ดาบอสูรนิรันดร์พัฒนาขึ้นในระดับต่อไป… หลิงฮันไม่กล้าคิดถึงจำนวนทรัพยากรที่ต้องใช้เลย
บางทีหลังจากที่เขากลายเป็นตัวระดับเซียน เขาอาจจะท่องตระเวนไปทั่วจักรวาลเพื่อรวบรวมแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์มาขัดเกลาดาบอสูรนิรันดร์ให้กลายเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับนิรันดร์
ตอนนี้เมื่อสะสางทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วก็ถึงเวลาที่หลิงฮันจะออกเดินทาง
หลิงฮันส่งข่าวไปแจ้งสวีเหลิน ผ่านไปไม่กี่วันสวีเหลินก็มาหาเขาพร้อมกับภรรยา
“เอ่อ… พี่ชายสวี?” หลิงฮันกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนเนื่องจากไม่สามารถเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโส
ถึงแม้หัวของสวีเหลินจะเต็มไปด้วยเส้นผมสีขาว แต่ผิวของเขาในตอนนี้เรียบเนียนไม่เหลือร่องรอยความชราอีกต่อไป หากไม่ใช่เพราะผมสีขาวของเขา สวีเหลินย่อมเป็นบุรุษหล่อเหลาที่สตรีผู้ใดเห็นก็ต้องตกหลุมรักแน่นอน
หลังจากไม่เหลืออะไรแล้ว หลิงฮันก็ตัดสินใจออกเดินทาง
เมื่อเห็นถึงความจริงใจของสวีเหลินที่ยืนหยัดอยู่เคียงข้างเขาแม้จะเป็นสถานการณ์ที่อันตรายถึงชีวิต หลิงฮันจึงนับสวีเหลินเป็นสหายที่แท้จริง
เขาบอกถึงการมีอยู่ของหอคอยทมิฬและต้นสังสารวัฏ
สวีเหลินหายสงสัยทันทีว่าทำไมหลิงฮันถึงได้บรรลุระดับดาราได้ก่อนอายุร้อยปี
น่าเสียดายที่ทุกคนไม่มีใครครอบครองทักษะบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์พวกเขาจึงต้องเข้าร่วมสำนักละอองดารา สถานที่แห่งนั้นมีตัวตนระดับเซียนขั้นสูงอยู่ แม้แต่เซียนหวู่เซียงเมื่อพบกับตัวตนระดับนั้นก็ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโส
เซียนหวู่เซียงที่เป็นอดีตเซียนในตอนนี้เขาบรรลุระดับดาราแล้ว ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเช่นนี้ทำให้หลิงฮันรู้สึกอิจฉาอย่างมาก
เซียนหวู่เซียงกล่าวว่าเขาเองก็ต้องการเข้าร่วมสำนักละอองดารา เขาไม่รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อยที่จะได้ประลองฝีมือกับเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งยุค
ด้วยเหตุนี้แล้วคนที่จะเดินทางไปพร้อมกับหลิงฮันในครั้งนี้คือ จักรพรรดินีหล่วนซิง สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ จักรพรรดิพิรุณ ติงผิง จิ่วเยา สวีเหลินและเซียนหวู่เซียง นอกจากคนเหล่านี้แล้วเฉินเสี่ยว หลี่ลั่วถง ติงจือจือ โสมเฒ่าและเจ้ากระต่ายก็ร่วมทางไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้พวกนางจะไม่สามารถเข้าร่วมสำนักละอองดาราได้พวกเขาก็ไม่ต้องการแยกกับครอบครัวของตนเอง
ส่วนในกรณีของโสมเฒ่าและเจ้ากระต่าย ทั้งสองเพียงต้องการไปก่อความวุ่นวานที่สำนักละอองดาราเท่านั้น
หลิงฮันคิดจะปฏิเสธทั้งสอง แต่เมื่อคิดว่าสุนัขตัวดำก็จะไปที่นั่นเช่นกัน โสมเฒ่ากับเจ้ากระต่ายก็คงไม่สามารถสร้างความวุ่นวายได้เทียบเท่าสุนัขตนนั้น
‘ครืนน’ อุปกรณ์บินแหวกเมฆาทะลวงชั้นบรรยากาศเหาะเหินขึ้นไปยังอวกาศอันมืดมิด
ที่ดาวเหอหนิงถึงแม้จะไม่มีสุดยอดปรมาจารย์คอยดูแลอยู่แล้ว แต่ตราบใดที่ยังไม่ข่าวการตายของจักรพรรดินีย่อมไม่มีใครกล้าสร้างปัญหา ไม่เช่นนั้นหากจักรพรรดินีกลับมาในภายหลังใครจะสามารถรับมือกับนางได้?
ผ่านไปสองปีอุปกรณ์บินแหวกเมฆาก็มาถึงดาวหยุนติ่ง
หลิงฮันไปยังตำหนักเป่าหลินก่อนเป็นอันดับแรกเนื่องจากสัญญาเอาไว้ว่าจะสอนหานซินเหยียนหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง ก่อนหน้านี้ที่เขาจากไปอีกฝ่ายยังไม่สามารถหลอมเม็ดยาชนิดนี้ได้สำเร็จ แต่เขาที่เป็นคนรักษาสัญญาแม้จะผ่านไปเจ็ดสิบปีก็ยังต้องกลับมาสอนนางต่อ
เขาเดินเคียงข้างจักรพรรดินีและมาถึงสถานที่อันเป็นจุดหมาย
“หากท่านทั้งสองต้องการซื้อ… ปะ ปรมาจารย์หลิง!” ผู้ดูแลร้านเอ่ยทักทายลูกค้าตามปกติ แต่เมื่อรู้ว่าคนที่เข้าร้านมาคือหลิงฮัน ผู้ดูแลร้านก็ยิ้มด้วยความประหลาดใจทันที
หลิงฮันเป็นตัวแทนของตำหนักเป่าหลินสาขาอังหยวนที่ได้อันสองในการแข่งขันของตระกูลหลิน ชื่อเสียงของเขาโด่งดังจนเป็นที่จดจำมาถึงเมืองที่ห่างไกลเช่นเมืองนี้
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “แม่นางหลินอยู่ที่นี่รึไม่?”
“เหอๆ นายท่านของข้ากำลังรอท่านอยู่เลย” ชายผู้ดูแลร้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“โอ้?” หลิงฮันประหลาดใจ หลินอวีฉีรอคอยให้เขาให้คำชี้แนะกับหานซินเหยียน?
“ที่จริงนายท่านหญิงถูกเรียกตัวกลับไปตระกูลหลัก แต่นางยังคงยืนกรานว่าจะอยู่ที่ต่อเพราะนางเชื่อว่าวันหนึ่งปรมาจารย์หลิงจะกลับมา ซึ่งนางก็ไม่ได้คาดเดาผิดเลยจริงๆ” ชายผู้ดูแลกล่าว
หลิงฮันอดไม่ได้ที่แอบชำเลืองมองไปยังจักรพรรดินี ภรรยาของเขาคนนี้ไม่แสดงใบหน้าหึงหวงออกมาแม้แต่น้อยผิดกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ ใบหน้าของนางยังคงนิ่งสงบไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดออกมาให้เห็น
แต่แน่นอนว่าด้วยออร่าปันป่วนที่ปกคลุมใบหน้าของนางเอาไว้ คนทั่วไปย่อมไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางได้ ไม่เช่นนั้นชายผู้ดูแลคนนี้คงอึ้งกับความงดงามจนพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว
“ปรมาจารย์โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปแจ้งให้นายหญิงทราบเดี๋ยวนี้” ชายผู้ดูแลรีบวิ่งไปกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับกล่าวให้หลิงฮันดีบจักรพรรดินีไปยังตำหนักภายใน ชายผู้ดูแลไม่มีสิทธิ์ที่จะเดินผ่านเข้าไปตำหนักภายในเขาจึงทำได้เพียงยืนจ้องมองอยู่ที่เดิม
พวกหลิงฮันเดินเข้าไปยังตำหนักภายในและพบเจอหลินอวีฉีในสวนขนาดย่อมแห่งหนึ่ง สตรีผู้นี้นั่งเอนกายขี้เกียจโดยไม่สวมรองเท้าเผยให้เห็นเท้าอันบอบบางและปราณีตราวกับหยกงาม
“โอ้ น้องชายรูปหล่อ ในที่สุดเจ้าก็มาหาพี่สาวแล้วรึ?”