น่าเสียดายที่พวกเขาต้องออกเดินทางทันทีหลิงฮันจึงไม่มีโอกาสหลับนอนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์
อุปกรณ์บินแหวกเมฆาเริ่มขับเคลื่อนอยู่เป็นเวลานานนับปีก่อนจะมาถึงเขตดวงดาวสี่ทิศและมุ่งหน้าต่อไปยังดาวมู่ถู
ดาวมู่ถูคือดวงดาวที่สำนักละอองดาราตั้งอยู่
ขนาดของดาวดวงนี้ใหญ่โตเป็นอย่างมากและเป็นดาวเปิดที่ไม่มีการป้องกันเข้มงวด
แต่ถึงอย่างคนผู้คนบนดาวก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลอบบุกโจมตี
ล้อเล่นรึเปล่า? บนดาวดวงนี้มีสำนักละอองดาราตั้งอยู่ เซียนที่นั่งอยู่ในสำนักนั้นมีถึงสิบคน!
เซียนสิบคนเป็นจำนวนที่น่าสะพรึงกลัวขนาดไหน?
โดยปกติแล้ว เขตดวงเขตหนึ่งแต่มีเซียนถือกำเนิดขึ้นสักคนก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว อย่างเขตเขตดวงดาวแสงคงกระพันของพวกหลิงฮันก็ไม่มีเซียนเลยแม้แต่คนเดียว เพียงแค่ตัวตนระดับวารีนิรันดร์ก็ถือว่าเป็นราชาในเ-ตดวงดาวของพวกเขา แต่ดาวดวงนี้กลับมีเซียนอยู่ถึงสิบคน
หากมีใครกล้าบุกโจมตีดาวดวงนี้ สมองคนเหล่านั้นคงจะผิดปกติเป็นแน่
เมื่อมีเซียนอยู่บนดาว ยังมีความจำเป็นอันใดที่ต้องใช้รูปแบบอาคมคุ้มกันทั่วทั้งดวงดาว? ทำแบบนั้นก็มีแต่จะทำให้ผลึกก่อเกิดสูญเปล่า!
อุปกรณ์บินแหวกเมฆาร่อนลงมาที่พื้น แม้จะไม่รู้ว่าตนเองกำลังลงจอดที่ใดแต่หลิงฮันก็ไม่รู้เส้นทางที่แน่ชัดอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอะไรมากและสุ่มๆร่อนลงที่พื้น
ทุกคนออกมาจากหอคอยทมิฬและมองเห็นหนองน้ำที่อยู่เบื้องหน้า ทิศทัศน์รอบๆปกคลุมไปด้วยหมอกทำให้การมองเห็นถูกจำกัด
“พลังวิญญาณช่างยอดเยี่ยม!”
“ยิ่งพลังวิญญาณหนาแน่นมากเท่าใด ผลึกก่อเกิดก็จะถูกควบแน่นขึ้นมาได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและระดับวิถีวรยุทธของที่นี่ก็จะสูงตามไปด้วย” เซียนหวู่เซียงกล่าว หลังจากบรรลุระดับดาราแล้วแม้จะเป็นเขา ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของก็ยังช้าลง
ดังนั้นเขาจึงไม่เสียเวลาเก็บตัวอยู่ในหอคอยทมิฬและออกมาด้านนอกเพราะไม่ต้องการให้หลิงฮันโยนร่างเขาออกมาทุกครั้งที่เพื่อใช้เป็นโล่
“สมกับเป็นสถานที่ที่เซียนอาศัยอยู่!”
ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้น ขนาดบริเวณนี้มีเพียงหนองน้ำธรรมดาซึ่งไม่ใช่สถานที่สำหรับบ่มเพาะพลังยังน่าอัศจรรย์ขนาดนี้ หากเป็นยอดเขาสูงหรือแม่น้ำที่มีผลึกก่อเกิดอยู่เบื้องล่างล่ะ พลังวิญญาณจะหนาแน่นขนาดไหน
พวกเขามุ่งหน้าออกเดินทาง ถึงแม้เหล่าคนที่ยังไม่บรรลุระดับดาราจะไม่สามารถเหาะเหินได้แต่การก้าวเดินบนผิวน้ำนั้นเป็น
ตูม!
จู่ๆสัตว์อสูรตนหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำและอ้าปากหวังจะเขมือบพวกหลิงฮัน สัตว์ที่ปรากฏออกมาคือจระเข้สีชาดขนาดใหญ่ บนหัวของมันมีเขาคู่หนึ่งประดับเอาไว้และมีขาทั้งสี่ข้างเหมือนกับของหมาป่า รูปร่างของมันดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
เสี่ยวชิง(อีแร้งเพลิงสีคราม)คำรามและจู่โจมจระเข้ยักษ์ทันที กรงเล็บทั้งสองของมันคว้าร่างของจระเข้สีขาดเอาไว้ ปีกของเสี่ยวชิงที่กระพือไปมานั้นมีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าจระเข้สีขาดเสียอีก
จระเข้สีขาดเป็นสัตว์อสูรระดับทลายมิติเท่านั้น มันไม่อาจตอบโต้เสี่ยวชิงได้ พบิตาเดียวกระดูกทั่วร่างของมันก็ถูกกรงเล็บบดขยี้และตกตาย
“กล้ามากที่ลอบโจมตีพวกเรา สมควรตายแล้ว!”
“เพียงแต่ว่าสภาพแวดล้อมของดาวดวงนี้เหมาะสมกับการบ่มเพาะพลังจริงๆ แต่สัตว์อสูรที่พบเจอตัวแล้วก็มีพลังระดับทลายมิติแล้ว แสดงให้เห็นว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายขนาดไหน”
“อืม ถึงแม้พวกเราจะแข็งแกร่ง แต่ไม่ประมาทย่อมดีกว่า”
พรึบ!
ทันใดนั้นเอง คลื่นแสงบางอย่างก็พุ่งทะลวงเข้ามาโดยมีเสี่ยวชิงที่ตอนนี้มีขนาดตัวถึงหนึ่งพันฟุตเป็นเป้าหมาย
หลิงฮันมองเห็นได้ชัดว่าคลื่นแสงที่พุ่งเข้ามาคือลูกศร!
เขาดีดนิ้วไปยังคลื่นแสง ทักษะดาบฟ้าคำรามถูกปลดปล่อยออกมา ‘ตูม’ ลูกศรคลื่นนั้นระเบิดออกทันที
หลิงฮันแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราด พวกเขายังไม่ทันได้ล่วงเกินใครแท้ๆกลับมีใครก็ไม่รู้ยิงลูกศรมาใส่พรรคพวกเขาโดยไร้เหตุผล?
เพียงแต่ว่าก่อนที่พวกเขาจะไปตามหาว่าคนที่ลอบโจมตีเป็นใคร พวกเขาก็เห็นร่างหนึ่งลอบเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราด ด้านหลังของชายที่ลอยเข้ามามีชายชราตามมาอีกสองคนราวกับเป็นคนรับใช้
“ใครกล้าขัดขวางการล่าของข้า?” ชายคนนั้นกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งยโส
การล่า? นี่เขามองเสี่ยวชิงเป็นสัตว์อสูรทั่วไป?
หลิงฮันเค้นเสียง เสี่ยวชิงถูกโจมตีโดยไร้เหตุผล มีรึที่เขาจะไม่โมโห?
“นั่นคือสัตว์อสูรของข้าที่เกือบจะถูกเจ้าทำร้าย เจ้าจะชดใช้เรื่องนี้อย่างไร?” หลิงฮันกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน
“ชดใช้?” ชายคนนั้นหัวเราะลั่น ชายชราคนรับใช้สองคนที่ติดตามเขามานั้นไม่แม้แต่จะชำเลืองมองหลิงฮันและทำเพียงยืนนิ่งเฉยอย่างเคารพ
“ช่างน่าขัน มีคนกล้าบอกให้หลิวซื่อเหวียนผู้นี้ชดใช้ด้วยงั้นรึ”
“ไม่คิดจะชดใช้?” หลิงฮันพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะโจมตีเจ้าด้วยคันศรเพื่อความเท่าเทียม”
หลิวซื่อเหวียนชะงักก่อนจะเค้นเสียงด้วยความโกรธ
“เจ้ารนหาที่ตาย?” ตั้งแต่ที่พี่ชายของเขากลายเป็นราชาในหมู่รุ่นเยาว์ก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดจากับเขาเช่นนี้
“จะยอมชดใช้หรือรับคันศรจากข้า!” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแสแต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น
“ช่างอวดดี!” คนรับใช้ชราทั้งสองก้าวมาด้านหน้า “กล้าพูดกับนายน้อยของข้าเช่นนี้ เจ้าคงอยากตายเร็วสินะ!”
หลิวซื่อเหวียนกอดอกและแสยะยิ้ม “เจ้ารู้รึไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
พรวด!
หลิงฮันและพรรคพวกแทบจะหัวเราะลั่น ชายคนนี้คงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากรุ่นเยาว์จอมเสเพล
“พะ พวกเจ้า!” หลิวซื่อเหวียนเกรี้ยวกราด ท่าทีเช่นนั้นมันอะไร?
“กล้าดีอย่างไร!” คนรับใช้ชราทั้งสองพุ่งทะยานพร้อมกันและปลดปล่อยแรงกดดันออกมา
ติงผิงและจิ่วเยาก้าวออกมา ‘ตูม’ ทั้งสองคนปล่อยหมัดออกไป พริบตาเดียวคนรับใช้ทั้งสองก็อักโลหิตและลอยกระเด็นไปด้านหลัง
‘ตุบ ตุบ’ ร่างของทั้งสองร่วงลงพื้น แม้จะพยายามอย่างไรพวกเขาก็ไร้เรี่ยวแรงและไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้
นี่มัน!
หลิวซื่อเหวียนรู้สึกเย็นยะเยือก ถึงแม้ชายชราทั้งสองจะเป็นเพียงคนรับใช้ของเขา แต่ในด้านพลังทั้งสองคนถือว่าแข็งแกร่งกว่าเขา สองชายชราเป็นคนรับใช้ของตระกูล ซึ่งรุ่นเยาว์ในตระกูลมีเพียงพี่ชายของเขาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติมีคนรับใช้ประจำตัวเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด
แต่ไม่คาดคิดว่าชายชราทั้งสองจะไม่สามารถตอบโต้ได้แม้แต่หนึ่งหมัดของสองรุ่นเยาว์!
“พะ พวกเจ้าอย่างได้ทำอะไรไร้สาระ!” เมื่อเห็นติงผิงกับจิ่วเยาก้าวเดินเข้ามาใกล้ หลิวซื่อเหวียนก็ก้าวถอยหลังทันที บริเวณหน้าผากของเขามีเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด ใครจะไปคิดว่าแค่การออกมาล่าเพื่อฆ่าเวลาจะเป็นการนำภัยพิบัติมาใส่ตัว
หลิงฮันคร้านจะพล่ามต่อ เขาโคจรศรฆ่ามังกรทะลวงดารา ‘ครืนน’ คลื่นแสงสีทองส่องประกายและลูกศรได้ถูกยิงไปที่ไหล่ซ้ายของหลิวซื่อเหวียน ‘ฉัวะ’ แขนข้างหนึ่งของเขาระเบิดกระจุยพร้อมกับโลหิตสาดกระจายออกมา
นี่ถือว่าหลิงฮันเมตตาแล้ว ไม่เช่นนั้นหากเขาเอาจริง อีกฝ่ายที่เป็นเพียงระดับสุริยันจันทราขั้นต้นจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร?
“จะ เจ้า…” หลิวซื่อเหวียนโอดครวญ “พี่ชายของข้าคือหลิวจวินเทียน เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้า พี่ชายของข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”
“ไสหัวไป” หลิงฮันสะบัดมือไล่โดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าใครคือหลิวจวินเทียน