“โคชดีที่เสี่ยวชิงของข้าไม่เป็นอะไรไป ไม่เช่นนั้นข้าจะตัดหัวสุนัขของมันทิ้ง” เจียนเสี่ยวหลิงกล่าวอย่างไม่พอใจ สหายที่ใกล้ชิดที่สุดของนางในตอนนี้คือโสมเฒ่า เจ้ากระต่าย เสี่ยวชิงและอสูรศิลา นางขึ้นขี่หลังของเสี่ยวชิงและรูปขนของมัน
ทุกคนหัวเราะ เจียนเสี่ยวหลิงเป็นเด็กสาวที่ฉลาดและขี้เล่นไม่เหมือนติงจือจือที่เรียบร้อยและว่าง่าย
“ไปกันต่อ”
ทุกคนออกเดินทางไปข้างหน้า ถึงแม้หนองน้ำจะไม่ได้มีขนาดเล็ก แต่ด้วยความเร็วของทุกคนพวกเขาจึงสามารถออกมาจากบริเวณหนองน้ำได้อย่างรวดเร็วและพบกับเมืองขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า
หลังจากเข้าไปในเมืองกลุ่มของพวกเขาก็มีส่วนหนึ่งที่ไปพักผ่อนในขณะที่อีกส่วนไปหาข้อมูลของสถานที่ตั้งของสำนักละอองดารา
เมืองแห่งนี้เป็นเมืองโบราณที่ไม่รู้ว่าก่อตั้งมานานเท่าไหร่แล้ว ต่อให้ไม่เข้ามาในเมืองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเก่าแก่
สถานที่สำหรับรวบรวมข้อมูลที่ดีที่สุดคือร้านอาหาร กลุ่มของหลิงฮันไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งโดยที่ไม่เลือกนั่งในห้องส่วนตัวแต่เป็นห้องรวม พวกเขานั่งกินอาหารพร้อมกับฟังเรื่องราวที่คนรอบข้างคุยกัน
แน่นอนว่าพวกเขาได้ข้อมูลของดาวที่ไม่คุ้ยเคยดวงนี้มาอย่างรวดเร็ว
“นี่ๆ เจ้าได้ยินรึไม่ว่านายน้อยเจ็ดของตระกูลป่ายเหล่าเพิ่งแต่งงานกับฉือโผหมินเมื่อครึ่งเดือนก่อน”
“พรวด นายน้อยเจ็ดของตระกูลป่ายเหล่าคือบุรุษหล่อเหลาที่สตรีผู้ใดก็ยากจนละสายตาออกจากเขาไม่ใช่รึไง แต่สตรีของนิกายฉือโผนั้นไม่เพียงมีแต่สตรีอัปลักษณ์แต่ยังมีนิสัยดุร้ายด้วย…”
“ฮ่าๆ ตระกูลป่ายเหล่าถูกตระกูลคู่แค้นอย่างตระกูลหลิวบีบบังคับให้แต่งงานเข้านิกายฉือโผอย่างไม่มีทางเลือก”
“ตระกูลหลิวคือตระกูลแห่งอัจฉริยะ!”
“ถูกแล้ว มีข่าวลือว่าเมื่อเจ็ดพันปีก่อนมีอัจฉริยะตระกูลหลิวคนหนึ่งได้รับคำชมเชยจากเซียนเหรินเติง”
“ว่าไงนะ เจ้าหมายถึงศิษย์คนที่เจ็ดของเซียนซิงฉา…. เซียนเหรินเติงผู้นั้นน่ะรึ?”
“ยังมีคนอื่นอีกรึไง?”
“หลิวจวินเทียนนั้นเพิ่งทะลวงผ่านระดับภูผาวารีเมื่อเจ็ดพันปีก่อน แต่ตอนนี้เขากลายเป็นจอมยุทธระดับดาราขั้นกลางแล้ว มีคำกล่าวว่าเขากำลังจะบรรลุระดับดาราขั้นสูงอีกเพียงแค่เอื้อม ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก”
“หลิวจวินเทียนที่ว่าได้มาเข้าร่วมสำนักละอองดาราในครั้งนี้ด้วย!”
“ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความ เมื่อได้รับความชื่นชอบจากเป็นพิเศษจากเซียนเหรินเติง เขาย่อมสามารถเข้าร่วมกับสำนักละอองดาราได้อย่างแน่นอน”
“ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตเขาจะกลายเป็นเซียนได้รึไม่ แต่การบรรลุระดับวารีนิรันดร์ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน”
“ระดับวารีนิรันดร์!”
ทุกคนรู้สึกอิจฉา แม้แต่ดาวดวงนี้ ตัวตนระดับวารีนิรันดร์ก็ยังเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ คนที่บรรลุระดับนี้ได้มีจำนวนน้อยนิด
หลิงฮันและพรรคพวกมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ช่างบังเอิญจริงๆที่พวกเขาได้มารับรู้เรื่องราวของหลิวจวินเทียนแบบนี้ อีกฝ่ายเป็นราชาในหมู่รุ่นเยาว์และมีศักยะภาพที่แม้แต่เซียนก็ยังชื่นชม
พวกแต่ว่าในกลุ่มของพวกเขาใครบ้างที่ไม่ใช่ราชา มีเหตุผลอันใดที่พวกเขาต้องหวาดกลัวอีกฝ่าย?
“ดูเหมือนว่าตอนนี้หลิวจวินเทียนจะไปยังภูเขาวายุม่วง”
“ทำไมเขาถึงไปที่นั่น?”
“เจ้าไม่รู้รึไงว่าภูเขาวายุม่วงในตอนนี้ได้กลายเป็นจุดรวมตัวที่เหล่าราชารุ่นเยาว์ตกลงกันว่าจะจัดงานน้ำชาขึ้น? ไม่ว่าใครหากไปที่นั่นได้ย่อมต้องรู้สึกภาคภูมิใจ”
“แค่ขึ้นไปบนเขา ไม่เห็นยากลำบากตรงไหน”
“ฮ่าๆ เจ้าคิดง่ายเกินไปแล้ว”
“ราชารุ่นเยาว์เห่านั้นต่างให้ผู้ติดตามที่แข็งแกร่งเฝ้าตีนเขาเอาไว้ หากไม่ใช่จอมยุทธที่มีศักยะภาพระดับราชาย่อมไม่สามารถผ่านขึ้นไปบนภูเขาได้ ยิ่งกว่าภูเขาวายุม่วงเองก็มีเป็นภูเขาที่แปลกประหลาด มีเพียงจอมยุทธระดับดาราเพียงหยิบมือที่สามารถขึ้นไปถึงยอดเขาได้!”
“อะไร มีเรื่องเช่นนั้นด้วย?”
“เจ้าคงเป็นจอมยุทธที่มาจากต่างดาวสินะ หากเจ้าเป็นคนของที่นี่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จักภูเขาวายุม่วง”
“ตัวข้าเพิ่งบรรลุเพียงระดับภูผาวารี เกรงว่าแค่เดินไปยืนอยู่บริเวณตีนเขาก็คงไม่สามารถทำได้”
หลิงฮันกล่าวอย่างเรียบง่าย “ลองไปภูเขาวายุม่วงกันดีไหม?”
“ไป!” เจียนเสี่ยวหลิงกลัวโลกจะสงบสุขเกินไป นางรีบเอาขึ้นมาทันที
“ข้าอยากเผชิญหน้ากับเหล่าราชาที่นั่น!” จักรพิรุณแสดงสีท่าปรารถนาการต่อสู้ แต่ไม่ใช่เพียงเขาคนเดียว แม้กระทั่งติงผิง จิ่วเยา สวีเหลินและคนอื่นๆก็เช่นกัน
ข้อมูลตำแหน่งของภูเขาวายุม่วงนั้นไม่ได้หายาก ภูเขาแปลกประหลาดลูกนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้คนในเมืองนี้อย่างน้อยเก้าในสิบล้วนแต่รู้จัก
ภูเขาวายุม่วงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่พวกหลิงฮันถึงออกเดินทางทันที สำหรับคนที่มีพลังไม่แข็งแกร่งพอจะเข้าไปอยู่ในหอคอยทมิฬ เพียงครึ่งวันพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย สิ่งที่แปลกประหลาดของภูเขาลูกนี้ไม่ใช่ความสูงแต่เป็นสภาพแวดล้อมของภูเขาที่เป็นสีม่วงทั้งหมด
สมชื่อภูเขาวายุม่วง
ณ เวลานี้ตีนเขาของภูเขาวายุม่วงพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ไม่ว่าใครต่างก็กำลังจดจ้องไปยังส่วนบนสุดของภูเขา มีคนราวๆร้อยคนที่เหาะเหินมองดูยอดเขาจากท้องฟ้า คนเหล่านั้นหากไม่ใช่จอมยุทธระดับดาราที่เหาะเหินได้ก็เป็นเผ่าที่มีปีกอยู่ด้านหลัง
ดูเหมือนว่างานเลี้ยงน้ำชาของเหล่าราชาจะดึงดูสายตาผู้คนอย่างมาก แม้กระทั่งจอมยุทธระดับดาราก็มาที่นี่เพื่อดูการแสดงที่น่าตื่นเต้น
“คึกคักจริงๆ” หลิงฮันยิ้ม
“น้องสี่ ไปกันเร็ว ข้าอยากสู้จนอดใจไม่ไหวแล้ว!” จักรพรรดิพิรุณกล่าว
หลิงฮันกล่าวตอบ “พี่สอง คนเหล่ามารวมตัวกันเพื่องานเลี้ยงน้ำชา”
“ไม่ใช่ว่ามีทั้งดื่มชาและประลองหรอกรึ?” จักรพรรดิพิรุณไม่คิดแบบหลิงฮัน
หลิงฮันมองไปยังติงผิงและกล่าว เจ้ารออยู่ที่นี่” ภูเขาลูกนี้มีเพียงจอมยุทธระดับดาราที่ขึ้นไปได้แถมยังต้องเป็นราชาในหมู่ระดับดารา ติงผิงนั้นถึงแม้จะขัดเกลาพลังจนบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์เขาก็ยังไม่บรรลุระดับดารา
สวีเหลินบอกให้ภรรยาของเขารออยู่ที่นี่เช่นกัน คนที่จะขึ้นไปบนภูเขามีเพียงหกคนคือหลิงฮัน จักรพรรดิพิรุณ จักรพรรดินีหล่วนซิงสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ สวีเหลินและเซียนหวู่เซียง
หกคนเมื่อรวมกลุ่มกันแล้วถือว่าทรงพลังอย่างมาก โดยเฉพาะจักรพรรดินีที่บรรลุระดับดาราขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุด หากนางลงมือ ไม่ว่าศัตรูเป็นใครย่อมแพ้อย่างราบคาบ
พวกเขาเดินเขาขึ้นไปยังภูเขา
“เหอะ มีกลุ่มคนที่ไม่รู้จักเจียมตัวเสียด้วย”
“มีคนมากมายที่ต้องการขึ้นไปบนยอดเขา แต่คนที่มีคุณสมบัติจะมีสักกี่คนเชียว?”
“ไม่ต้องพูดถึงว่าการขึ้นภูเขาวายุม่วงนั้นลำบาก แค่โอกาสจะได้ขึ้นไปพวกเขาก็ไม่มีแล้ว”
ผู้คนรอบข้างหยอกล้อดูถูกกลุ่มของหลิงฮัน
เหล่าราชาในหมู่อัจฉริยะได้ทิ้งผู้ดินตามเอาไว้ล่างเขา และการที่จะเป็นผู้ติดตามของราชาได้ จอมยุทธเหล่านั้นก็ต้องเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ