ที่จริง ภายในหุบเขาเฉินเอี๋ยนแห่งนี้ต่อให้เป็นอุปกรณ์เซียนก็ถูกลดพลังลงเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถปลดปล่อยอำนาจที่แท้จริงออกมาได้
แต่ไม่ว่าอย่างวัตถุดิบแห่งเซียนก็ยังคงเป็นวัตถุดิบแห่งเซียน ไม่ว่าอย่างไรอำนาจของมันก็ยังทรงพลัง หากเทียบแล้วก็เหมือนกับราชาระดับสามที่ถูกลดระดับพลังลงมาแต่ก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าราชาระดับสอง ศัตรูทั้งสามเป็นเพียงราชาระดับหนึ่งจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อต้านเนี่ยเทียนเฉิงที่ถือครองอุปกรณ์กึ่งเซียนได้
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสามจะแพ้ แต่การที่ทั้งสามพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเช่นนั้นทำให้หลิงฮันตกตะลึงและจ้องมองไปยังกิ่งลูกท้อเซียน
หากเขาได้ครอบครองต้นท้อเซียนไปปลูกในหอคอยทมิฬล่ะ?
หลังจากดูดซับเศษแผ่นหินของศัตรู กลุ่มของหลิงฮันก็ลอยขึ้นสูงไปอีกสามฟุต
แต่คนที่พ่ายแพ้ก็ใช่ว่าจะหมดสิทธิไปทั้งหมดเสียทีเดียว พวกเขาสามารถเริ่มต้นใหม่จากหนึ่งได้ตลอดเวลา ดังนั้นทันทีที่ทั้งสามคนร่วงหล่นจากแผ่นหิน พวกเขาก็แค่หาแผ่นหินแผ่นใหม่เพื่อลอยขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่เสียอะไร
หลิงฮันพบกับศัตรูที่เป็นกลุ่มเจ็ดคน อีกฝ่ายปรากฏตัวด้วยท่าทีคุกคาม แต่ทันทีที่เห็นจักรพรรดินีท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนไปและรีบเผ่นหนีโดยไม่กล้าสู้
เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเนี่ยเทียนเฉิงและพวกเป่ยหวงรูปสึกประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? นี่พวกเขาแข็งแกร่งจนศัตรูต้องเผ่นหนีเลยรึ?
หลิงฮันและคนอื่นๆยิ้ม จักรพรรดินีเป็นที่รู้จักกันในฉายาเพชฌฆาตราชา มีหลายคนที่รู้จักฉายาของนางแต่ยังไม่เคยเห็นตัว เพียงแต่ว่าดูเหมือนทั้งเจ็ดคนนั้นจะจำจักรพรรดินีได้ เพราะงั้นพอเห็นจักรพรรดิพวกเขาถึงได้เผ่นหนีอย่างไม่ลังเล
ราชาระดับสามนั้นต่อให้พลังบ่มเพาะจะถูกลดลงมาเท่ากันก็ยังได้เปรียบอยู่ดี
กลุ่มของพวกเขาเอาชนะศัตรูได้ตลอดทาง อันที่จริงคนที่ลงมือมีเพียงแค่เนี่ยเทียนเฉิงกับตันจิงอี่สองคนเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาอยากแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์
ตันจิงอี่ไม่ธรรมดาเลย เขาใช้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์รูปของผลึกหินที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ แม่ขนาดของมันจะเล็กกระทัดรัดแต่น้ำหนักของมันกลับมหาศาล หากถูกผลึกหินนี้กระแทกโจมตีเข้าใส่ไม่มีประโยชน์เลยที่จะทำการป้องกัน กระดูกและกล้ามเนื้อของคนที่ถูกโจมตีจะแหลกเละโดยไม่อาจต่อต้าน
นี่ไม่ใช่อุปกรณ์เซียนแต่เป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบหก เพียงแต่ว่าหลังจากถูกขัดเกลาด้วยฝีมือของเซียน พลังอำนาจของมันจึงกล่าวได้ว่าเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์อันดับต้นๆในระดับวารีนิรันดร์
อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้มีชื่อว่า ‘หกแก่นแท้ภูผา’ ไม่เพียงแค่มันสามารถใช้กระแทกใส่ศัตรูได้เท่านั้นแต่มันยังสามารถขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าภูเขาและทับบดขยี้ทุกสรรพสิ่งอีกด้วย
ตันจิงอี่กับเนี่ยเทียนเฉิงร่วมมือกันใช้สมบัติทั้งสองชิ้นเข้าปะทะศัตรูอย่างไร้เทียมทาน
หลังจากผ่านไปครึ่งวันกลุ่มของพวกเขาก็ขึ้นมาสูงราวๆพันฟุต แต่ความสูงเท่านี้เป็นความสูงเพียงหนึ่งในสิบของหุบเขาเฉินเอี๋ยนเท่านั้น พวกเขายังหากไกลจากแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดสูงสุดของหุบเขา
ถึงแม้ทุกครั้งที่หุบเขาเฉินเอี๋ยนเปิดออกจะมีผู้ชนะที่สามารถขึ้นไปสูงเป็นอันดับหนึ่ง แต่กลับไม่มีใครเลยที่สามารถขึ้นไปยืนบนแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดสูงสุดได้
เหตุผลก็เพราะจำนวนและความแข็งแกร่งของผู้เข้าร่วม ต่อให้มีผู้เข้าร่วมคนหนึ่งที่แข็งแกร่งหาผู้ใดเปรียบ แต่เขาย่อมไม่สามารถขึ้นไปบนแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดสูงสุดได้หากไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ให้เขาเพื่อเพิ่มระดับความสูงของแผ่นหินที่ยืนอยู่
กู่ต้าวอี้มองไปยังแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดสูงสุด ในแววตาของเขาปรากฏภาพการระเบิดของดวงดารามากมายราวกับจักรวาลกำลังถูกทำลายและก่อกำเนิดขึ้นใหม่ หากหลิงฮันเห็นสิ่งนี้เขาต้องสามารถคาดเดาได้ว่านี่คืออำนาจแห่งการทำลายและการก่อเกิด
หากเข้าใจหลักการของสองสิ่งนี้จะทำให้สามารถทะลวงผ่านช่องว่างมิติสำหรับสร้างเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียน
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร กู่ต้าวอี้คืออัจฉริยะจากดินแดนแห่งเซียน ความเข้าใจในวิถีวรยุทธของเขานั้นสูงล้ำยิ่งกว่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ยิ่งในฐานะที่เป็นตัวตนระดับนิรันดร์ที่กลับมาเกิดใหม่ทำให้เขาไม่มีคอขวดใดๆในการบ่มเพาะพลังระดับพระเจ้า
รอบกายเขามีราชายี่สิบสามคนยืนอยู่บนแผ่นหินสองแผ่น ถึงแม้หนึ่งกลุ่มจะสามารถตั้งพันธมิตรได้เพียงสิบสองคนแต่พวกเขาก็ยังสามารถแบ่งพันธมิตรออกเป็นสองกลุ่มได้ พวกเขาทั้งยี่สิบสามยืนคุ้มกันกู่ต้าวอี้ราวกับกำลังปกป้องเทพเจ้า
กู่ต้าวอี้ไม่จำเป็นต้องลงมือแม้แต่น้อย แต่ราชาทั้งสองกลุ่มนี้ก็สามารถจัดการศัตรูได้ทุกคน เหล่าผู้ติดตามของเขานั้นเต็มไปด้วยราชาระดับสอง!
กู่ต้าวอี้ไปยังกลุ่มของหลิงฮัน สายตาของเขาจดจ้องไปที่ร่างกายของจักรพรรดินีแต่ก็ไม่ใส่สั่งให้เหล่าผู้ติดตามไปสังหารนาง
ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน อีกอย่างอาหารชามโตเช่นนี้คนที่ลงมือจัดการต้องเป็นตัวเขาเองสิ
กลุ่มของหลิงฮันเพิ่มระดับความสูงได้อย่างราบลื่น เพราะอย่างไนนี่ก็ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยิ่งพวกเขาขึ้นไปในระดับความสูงที่มากขึ้น ศัตรูก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ตอนนี้กลุ่มพันธมิตรที่ขึ้นมาได้สูงที่สุดมีอยู่ราวๆหนึ่งพันกลุ่ม ในขณะเดียวกันผู้คนที่อยู่ด้านล่างเองก็กำลังค่อยทยอยกันขึ้นมา ต่อให้เคยแพ้ไปแล้วแต่หากเวลายังไม่สิ้นสุดก็ยังมีโอกาสกลับขึ้นมาได้ตลอด
“หลังจากขึ้นสูงไปถึงความสูงระดับนึง พวกเราก็จะไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้อีกต่อไป”
“ในระยะความสูงร้อยฟุตสุดท้าย มีคำกล่าวว่าไม่เคยมีใครขึ้นไปถึงมากก่อน”
“จากกฎของหุบเขาที่มีมาตั้งแต่อดีต เมื่อพันธมิตรกลุ่มแรกหรือคนแรกขึ้นไปถึงความสูงระดับนึง ที่ว่า การแข่งขันแย่งชิงวาสนาของหุบเขาเฉินเอี๋ยนก็จะเริ่มนับถอยหลังสามวัน”
“หลังจากผ่านไปสามวัน แผ่นหินของใครอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด คนนั้นก็จะเป็นอันดับหนึ่ง”
“เป็นเวลานานมาแล้วที่ทุกคนต่างสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนสามารถขึ้นไปยังแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนสุดและจะได้รับรางวัลเป็นอะไรกันแน่”
“น่าเสียดายที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีเคยทำได้สำเร็จ”
เป่ยหวงและฉือหวงกล่าว ตอนนี้กลุ่มของพวกเขาขึ้นมาถึงความสูงแปดร้อยฟุตแล้ว พวกเขาห่างจากจากจุดสูงสุดของส่วนแรกอีกไม่ไกล
นี่หมายถึงพันธมิตรของพวกเขากำลังจะจบลง
“ใครบางคนมาทางนี้!” เนี่ยเทียนเฉิงกล่าว เขามองไปด้านหน้าพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหาร
หลิงฮันชำเลืองมองไปด้านหน้าก่อนจะเอื้อมมือออกไปหยุดเนี่ยเทียนเฉิง “พวกเขาคือสหายข้า!”
ทั้งห้าคนที่ปรากฏตัวมีอยู่สี่คนที่เขารู้จัก อู่เมี่ยน หยางหลิน เย่วหยิงและแม่นางหยุน
“น้องชายหลิง!” ทั้งสี่คนกล่าวทักทาย
หลิงฮันพยักหน้าและทักทายพวกเขาทีละคน พลังของทั้งห้าคนแม้ไม่จะแข็งแกร่งมาก แต่ในกลุ่มพวกเขามีหยางหลินที่เรียกได้ว่าเป็นบุตรรักแห่งสวรรค์ อีกฝ่ายสามารถนำอุปกรณ์เซียนออกมาใช้ได้เมื่อเข้าตาจน
จากที่หลิงฮันเห็น ดูเหมือนทั้งห้าคนตั้งใจจะขึ้นไปสูงสุดเพียงแค่พันฟุตและไม่ขึ้นไปสูงกว่านั้น เหตุผลข้อแรกที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพราะหากยังขึ้นไปยังไม่สูงเกินกว่าพันฟุตพวกเขาจะสามารถคงสภาพพันธมิตรเอาไว้ได้เพื่อช่วยเหลือปกป้องกันและกัน และข้อสองคือพวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะกับราชาที่แข็งแกร่ง
เมื่อการนับถอยหลังสามวันใกล้จะหมด พวกเขาถึงจะค่อยขึ้นไปสูงเกินพันฟุตเพื่อรับวาสนาจากสวรรค์และปฐพี เพราะอย่างไรแผ่นหินก็มีระยะการลอยที่แน่นอน พวกเขาจึงสามารถคำนวณระยะได้