“บังอาจช่วงชิงวาสนาของข้าไป เจ้าต้องตาย!” กู่ต้าวอี้กล่าวอย่างเย็นชา
เขารู้สึกได้ว่าวาสนาที่หลิงฮันได้มานั้นต้องทรงพลังมากเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ต้องการมันมาตั้งแต่แรก อยากที่รู้ว่าเขาเคยเห็นจอมยุทธระดับนิรันดร์ การที่จะทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากไขว่คว้าได้สมบัตินั่นจะต้องน่าดึงดูดขนาดไหน?
“ไร้สาระ!” หลิงฮันคำรามพร้อมกับสะบั้นดาบอสูรนิรันดร์ปลดปล่อยปราณดาบไร้ที่สิ้นสุด
“ฮึ่ม คิดว่าข้าหวาดกลัวเจ้า?” กู่ต้าวอี้เค้นเสียง ร่างของเขาปลดปล่อยแสงสว่าง เหนือผิวของเขามีอักขระมากมายปรากฏออกมาห่อหุ้มราวกับทำหน้าที่เป็นเกราะทำให้เขาไม่ได้รับผลกระทบจากอำนาจสวรรค์
เพียงแต่ว่านั่นก็แค่ร่างหลักเท่านั้น ร่างแยกอีกเก้ายังคงได้รับผลกระทบอยู่
นี่คือพลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์!
หลิงฮันจ้องมองอักขระเหล่านั้นด้วยเนตรแห่งสัจธรรม อักขระเหล่านั้นสมควรมเป็นความลับของแก่นกำเนิดนิรันดร์ ตอนที่เขาขัดเกลาเพลิงเก้าสวรรค์ก็มีอักขระเช่นนี้ปรากฏออกมาเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้วแก่นกำเนิดนิรันดร์ของกู่ต้าวอี้ดูเหมือนจะมีระดับที่ต่ำกว่ามาก
เพลิงเก้าสวรรค์คือเพลิงบรรพบุรุษซึ่งมีอำนาจเทียบกับราชานิรันดร์!
แต่ถึงอย่างนั้นหลิงฮันก็ไม่สามารถมองอักขระเหล่านั้นออก…
หลิงฮันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย อักขระเหล่านั้นคือตราประทับนิรันดร์ซึ่งมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก การจ้องมองเพียงชั่วครู่ไม่มีทางทำให้เขาเข้าใจในอักขระเหล่านั้นได้
เลิกสนใจสิ่งอื่นแล้วต่อสู้!
หลิงฮันลงมือโจมตี เขาสะบั้นดาบออกไปพร้อมกับปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำราม
กู่ต้าวอี้เองก็ไม่ได้อ่อนแอ อุปกรณ์เซียนในมือของเขาคืออาวุทะธที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนแห่งนี้ แถมถึงแม้ร่างแยกทั้งเก้าจะถูกลดพลังต่อสู้ไปสองดาว แต่เมื่อปลดปล่อยทักษะทั้งเก้าออกมาพร้อมกันก็ยังเป็นการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ดี
แต่กายหยาบของหลิงฮันแข็งแกร่งขนาดไหน?
เขาไม่กล้าใช้ร่างกายรับอุปกรณ์เซียนของกู่ต้าวอี้โดยตรงก็จริง แต่นั่นไม่ใช่กับทักษะทั้งเก้า เมื่อเขาถูกทักษะเหล่านั้นกระแทกอย่างมากร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะเดียวกันกู่ต้าวอี้เองก็ไม่กล้ารับการโจมตีของดาบอสูรนิรันดร์โดยตรง ด้วยอำนาจทำลายล้างที่ไร้ขีดจำกัดของดาบนี้ต่อให้เป็นจอมยุทธระดับนิรันดร์ก็อาจจะถูกสังหารลงได้
ราชาทั้งสองเข้าปะทะห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะแยกออกว่าฝ่ายใดกันแน่ที่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
หลิงฮันไม่ใช่เพลิงเก้าสวรรค์ ไพ่ใบนี้เขาจะใช้ก็ต่อเมื่อรู้ถึงพลังทั้งหมดของกู่ต้าวอี้แล้วเท่านั้น แต่ใม่ว่าอย่างไรตอนนี้การสังหารกู่ต้าวอี้ก็คงเป็นไปไม่ได้
บนดาวมู่ถูดวงนี้มีเซียนอยู่ทั้งหมดสิบคน สัมผัสสวรรค์ของพวกเขาสามารถสอดส่องดาวทั้งดวงได้ตลอดเวลาซึ่งไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยให้ตัวเขา กู่ต้าวอี้ เทียนเซี่ยตี้เอ้อหรือสุดยอดราชาคนอื่นๆในยุคสมัยนี้ตกตายเด็ดขาด
มีเพียงทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เท่านั้นที่แม้แต่เซียนก็ไม่กล้าเอื้อมมือเข้ามายุ่งเกี่ยว
เพราะงั้นแล้วหลิงฮันจึงไม่คิดจะเปิดเผยไพ่ลับใบนี้เร็วเกินไป
ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาด หลังจากสู้กันไปสักระยะ เซียนก็เข้ามาแทรกแซงการปะทะกันระหว่างหลิงฮันกับกู่ต้าวอี้ ภายใต้อำนาจของเซียนต่อให้หลิงฮันกับกู่ต้าวอี้จะไม่หวาดกลัวพวกเขาก็ต้องยอมลามือ
พวกเขายังไม่เท่าไหร่ จอมยุทธบางคนนั้นถึงขนาดคุกเข่าลงกับพื้นแสดงความเคารพ
เซียนที่มามีคือเซียนจิ่วชิง เขาเป็นลูกศิษย์คนที่เก้าของเซียนซิงฉาและเป็นเซียนที่อายุน้อยที่สุดในเขตดวงดาวนับร้อยใกล้ๆนี้ วันนี้อายุของเขาเพิ่งจะผ่านพ้นสามร้อยล้านปีพอดี
รูปลักษณ์ของเขาดูเหมือนกับปราชผู้ทรงภูมิ แม้ใบหน้าของเขาจะไม่หล่อเหลาแต่กลิ่นอายลึกล้ำของเขากลับสามารถทำให้ผู้คนจิตใจหวั่นไหว
“พวกเราจะไปยังสำนักละอองดารา การรับสมัครศิษย์ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว!” เซียนจิ่วชิงกล่าวพร้อมกับสะบัดมือ ร่างของทุกคนถูกยกขึ้นและลอยไปยังสำนักละอองดารา
ความเร็วของเซียนนั้นน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก ตอนนี้เซียนจิ่วชิงยังไม่ฉีกช่องว่างมิติด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นแล้วเพียงแค่ก้าวเดียวเขาก็สามารถแตะเท้าไปยังดวงดาวอีกดวงได้
สำนักละอองดาราปรากฏขึ้นตรงหน้าของทุกคน
ที่จริงสำนักละอองดาราแบ่งแยกออกไปอีกเก้าสำนักย่อย แต่ละสำนักย่อยจะมีเซียนที่เป็นศิษย์ของเซียนซิงฉาทั้งเก้าคอยทำการชี้แนะ ตอนนี้พวกเขามาถึงสำนักย่อยที่เก้าซึ่งเป็นสำนักของเซียนจิ่วชิง
“รออยู่ที่นี่ การรับศิษย์จะเริ่มในอีกสามวัน” เซียนจิ่วชิงกล่าว
คำพูดของเซียนแม้จะเป็นคนที่หยิ่งทะนงอย่างกู่ต้าวอี้ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง เพราะอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นเพียงจอมยุทธระดับดาราที่ต่ำต้อย เซียนสามารถสังหารเขาได้เพียงแค่นึกคิด
ทุกคนรอคอยอย่างเชื่อฟังเพื่อให้สามวันผ่านพ้นไป
จักรพรรดินีและคนอื่นๆเดินเข้ามาหาหลิงฮัน กลุ่มของพวกเขาไม่ได้พบหน้ากันมานานกว่าสิบปี
หลิงฮันโอบดอกสตรีนกอมตะด้วยมือซ้ายและโอบกอดจักรพรรดินีด้วยมือขวา เขาไม่สามารถกล่าวถึงวาสนาที่ได้รับมาในสถานการณ์เช่นนี้เนื่องจากสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งเซียนนั้นยิ่งใหญ่เกินไป
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว สำนักย่อยที่เก้าคับคั่งไปด้วยผู้คน ไม่เพียงแค่ราชาที่เข้าร่วมแย่งชิงวาสนาในหุบเขาเฉินเอี๋ยน แต่ยังมีจอมยุทธระดับภูผาวารีและระดับสุริยันจันทราด้วย
สิ่งที่สำนักละอองดาราต้องการไม่ใช่ระดับพลังบ่มเพาะแต่เป็นพรสวรรค์ ต่อให้พลังบ่มเพาะจะต่ำหรือสูงก็ไม่สำคัญเพราะของแบบนั้นสามารถยกระดับเพิ่มได้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้แม้จะมีพลังบ่มเพาะสูงขึ้นก็คือศักยภาพติดตัวแต่กำเนิด
หากต้องการเป็นเซียน ระดับพลังบ่มเพาะไม่ใช่กุญแจสำคัญ
เพียงแต่ว่าเงื่อนไขต่ำสุดที่สำนักละอองดาราต้องการคือจอมยุทธที่เข้าร่วมต้องขัดเกลาพลังบ่มเพาะบรรลุขั้นสมบูรณ์อย่างน้อยหนึ่งขั้น ดังนั้นแล้วจำนวนของผู้สมัครเข้าสำนักที่มีมากกว่าสามพันคนนี้ เกินกว่าสองพันเก้าร้อยคนเป็นราชาระดับหนึ่ง จำนวนของราชาระดับสองลดมาเหลือสามร้อยคน ในขณะที่ราชาระดับสามมีเพียงสิบสองคนเท่านั้น
“เซียนทั้งเก้าทำการเลือกศิษย์!” ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์คนหนึ่งของสำนักละอองดาราก้าวออกมาและประกาศเริ่มการคัดเลือกศิษย์เข้าร่วมสำนัก “ชื่อของผู้เข้าร่วมจะถูกเอ่ยขานออกมา ซึ่งเซียนทั้งเก้าจะเป็นผู้ตัดสินด้วยตัวเอง หากถูกเซียนเพียงคนเดียวเลือก จอมยุทธผู้นั้นก็จะถูกจัดให้กลายอยู่ภายใต้การชี้แนะของเซียนผู้นั้นทันที แต่หากถูกเซียนคนที่สองหรือมากกว่าเลือกพร้อมกัน จอมยุทธผู้นั้นจะเลือกได้ด้วยตัวเองว่าจะยอมเป็นอยู่ภายใต้การชี้แนะของเซียนผู้ไหน”
“กู่ต้าวอี้!”
ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์เอ่ยขานชื่อแรก