อะไรกัน เริ่นเฟยอวิ๋นคิดจะลงมือแล้ว?
อีกฝ่ายเป็นถึงระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดซึ่งไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าศิษย์เก่าทั้งสิบสามคนนี้กี่หมื่นเท่า! หากเขาลงมือจริงๆต่อให้หลิงฮันกับจักรพรรดินีจะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้
มีศิษย์เก่าระดับวารีนิรันดร์คนอื่นที่คิดจะลงมือ แต่เมื่อเห็นเริ่นเฟยอวิ๋นปรากฏตัวพวกเขาก็ล้มเลิกความคิดทันที
ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดลงมือเองแล้ว มีความจำเป็นอะไรให้พวกเขาจะเข้าไปแทรกแซง?
ร่างของหลิงฮันโซเซ ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีทั้งกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านและหยดวารีอมตะที่ช่วยให้บาดแผลทั้งหมดสายเป็นปลิดทิ้ง บาดแผลตามร่างของเขาทำทั้งหมดทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้และสู้ให้ถึงที่สุด
เริ่นเฟยอวิ๋นยิ้มและกล่าว “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้มาสู้กับเจ้า การรังแกคนที่อ่อนแอกว่าไม่ใช่นิสัยของข้า” เขาชำเลืองมองไปยังศิษย์เก่าคนอื่นๆก่อนจะกล่าว “พวกเจ้าตงหยุดมือ”
อะไรกัน เริ่นเฟยอวิ๋นไม่ได้มากำราบหลิงฮันจักรพรรดินีแต่แท้จริงแล้วมาช่วยเหลือทั้งสอง!
นี่มัน… เกินความคาดหมาย!
แต่ทว่าเมื่อศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดมาอยู่ที่นี่แล้ว ต่อให้จะมีคนไม่พอใจแต่ใครจะกล้ากล่าวออกมา?
ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นเริ่นเฟยอวิ๋นนั้นทั่วทั้งสำนักย่อยที่แปดมีเพียงสี่คนเท่านั้น ซึ่งแท้ละคนก็ล้วนแต่แข็งแกร่งจนสามารถเหยียดหยามทุกสรรพสิ่ง
“เริ่นเฟยอวิ๋น เจ้าคิดจะทำลายวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา?” เสียงอันไม่แยแสดังขึ้นพร้อมกับร่างหนึ่งปรากฏตัวออกมา เขาเป็นชายวันกลางคนที่มีครีบอยู่ด้านหลังและนิ้วมือทั้งห้ามีพังผืดเชื่อมต่อกัน สามารถคาดเดาได้ว่ามีสายเลือดสัตว์อสูรที่ร่างกายโดยรวมเป็นปลา
“ศิษย์พี่ไช่!”
“เป็นศิษย์พี่ไช่เหมี่ยว!”
ทุกคนอุทานออกมา อีกฝ่ายเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดอีกคนเหมือนกับเริ่นเฟยอวิ๋นแถมยังเข้าร่วมกับสำนักก่อนเสียอีก
“วัฒนธรรมกำเนิดมาจากผู้คน ย่อมถูกล้มเลิกได้ด้วยผู้คน” เริ่นเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่แยแสแต่แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“โอ้ หรือเจ้ายังฝังใจตอนที่ถูกบังคับให้คลานลอดผ่านช่องสุนัขอยู่?” ไช่เหมี่ยวกล่าวเยาะเย้ย
ถึงแม้ทั้งสองคนจะเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเหมือนกัน แต่ไช่เหมี่ยวเข้าร่วมสำนักก่อนเริ่นเฟยอวิ๋น และในตอนที่เริ่นเฟยอวิ๋นเป็นศิษย์ใหม่ก็เป็นไช่เหมี่ยวที่ทำหน้าที่ดูแลศิษย์ใหม่
ดังนั้นทั้งสองจึงมีความบาดหมางต่อกันอยู่
เริ่นเฟยอวิ๋นยังคงกล่าวอย่างไม่แยแส “ในอดีตข้ายังไม่แข็งแกร่งพอจึงไม่สามารถต่อต้านได้ แต่ในตอนนี้… หากคิดจะให้ศิษย์ใหม่สองคนนี้ก้มหัวพวกเจ้าต้องผ่านข้าไปเสียก่อน”
“เริ่นเฟยอวิ๋น เจ้าล้ำเส้นเกินไป!” ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดอีกคนปรากฏตัว เขาเป็นชายร่างสูงบึกบึนและมีหัวเป็นราชสีห์
ชายคนนี้เป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าร่วมสำนักมาก่อนใครอื่น แต่เขาเป็นเผ่าพันธุ์ใดที่เกิดจากสวรรค์และปฐพีนั้นยังไม่มีใครรับรู้
แต่เดิมเขาถูกเรียกว่า ‘ฉี (แปลกประหลาด)’ เนื่องจากมีเพียงคำเดียวที่เหมาะสมจะใช้เรียกเขา แต่หลังจากเข้าร่วมสำนักย่อยที่แปด เซียนหมิงซินก็มอบชื่อ ‘ฉีเทียน’ ให้แก่เขา
ไม่ว่าชื่อเขาจะเป็นอย่างไร แต่พลังของเขาก็แข็งแกร่งอย่างไม่มีข้อสงสัย
ตอนนี้ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสองกำลังคัดค้านเริ่นเฟยอวิ๋น
เริ่นเฟยอวิ๋นไม่หวาดกลัว ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วเขาย่อมรู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร ท่าทีของเขายังคงสงบนิ่ง “ข้าล้ำเส้น? ทำไมศิษย์ใหม่ที่เข้าร่วมสำนักทุกคนต้องได้รับความอัปยศจากรุ่นสู่รุ่น? วัฒนธรรมเช่นนี้สมควรแค่ที่จะยกเลิกทิ้งไปซะ!”
“พูดจาอวดดี!” ฉีเทียนกล่าวเย็นชา “วัฒนธรรมนั่นเป็นกฎที่เซียนซิงฉาเป็นคนคิด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเจ้าก็ห้ามตั้งคำถาม!”
“ไสหัวไป!” ไช่เหมี่ยวที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับเริ่นเฟยอวิ๋นอยู่แล้ว ไม่พล่ามเยอะให้เสียเวลา
ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดคนสุดท้ายไม่ปรากฏตัว ในหมู่ศิษย์ทั้งสี่คนนางเป็นสตรีเพียงคนเดียว ชื่อของนางคืออวี๋ซู่ซู่ นางเป็นศิษย์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในศาสตร์รูปแบบอาคมและเป็นศิษย์รักของเซียนหมิงซิน
หากเซียนหมิงซินยังไม่ปรากฏตัว สถานการณ์สองต่อหนึ่งในตอนนี้ เริ่นเฟยอวิ๋นจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เริ่นเฟยอวิ๋นสะบัดมืออย่างไม่แยแส “เช่นนั้นก็ตัดสินกันด้วยการต่อสู้!”
“เริ่นเฟยอวิ๋น เจ้าช่างบ้าบิ่นนัก!” ไช่เหมี่ยวปล่อยฝ่ามือ ‘ตูม’ เมฆบนท้องฟ้าแยกออกพร้อมกับห่าฝนสาดลงมา สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวคือเม็ดฝนเหล่านี้เต็มไปด้วยอำนาจแห่งการกัดกร่อน ใครที่เปียกเม็ดฝนย่อมมีบาดแผลปรากฏที่ร่างกาย แม้แต่โล่ปราณก่อเกิดก็ไม่สามารถป้องกันเม็ดฝนได้
เริ่นเฟยอวิ๋นเองก็ลงมือ กระดูกนิ้วมือของเขาส่องประกาย อักขระรูปแบบอาคมนับร้อยล้านถูกกระตุ้นใช้งาน
ครืนน!
การโจมตีของศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสองคนทำให้ทั่วทั้งสำนักสั่นไหว แม้กระทั่งรูปแบบอาคมเซียนที่ติดตั้งเอาไว้ก็แทบจะเอาไม่อยู่
“ฮึ่ม!” ฉีเทียนลงมือและร่วมมือกับไช่เหมี่ยวกำราบเริ่นเฟยอวิ๋น
ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสามคนปะทะกันอย่างดุเดือดโดยที่ศิษย์คนอื่นๆไม่มีคุณสมบัติเข้าไปแทรกแซง
หลิงฮันกับจักรพรรดินีล่าถอย ทั้งสองต่างเก็บงำความรู้สึกเกรี้ยวกราดเอาไว้ในจิตใจ
พวกเขายังไม่ได้ได้ล่วงเกินใครแต่ทำไมต้องถูกบังคับให้คลานลอดผ่านช่องสุนัขด้วย?
ทำไมกัน?
ทำไมพวกข้าถึงไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นนี้?
สำหรับคนที่ยิ่งทะรงในศักดิ์ศรีเช่นพวกเขายอมตายเสียดีกว่ายอมรับความอัปยศ!
หากพวกเขาไม่สามารถเอาชนะเหล่าศิษย์เก่าได้ พวกเขาจะลาออกจากสำนักแห่งนี้
เมื่อเห็นเริ่นเฟยอวิ๋นออกหน้าเพื่อพวกเขา ทั้งสองคนทั้งรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณและเกรี้ยวกราดไปพร้อมๆกัน
การต่อสู้ของศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสามส่งผลให้ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน
“หยุด!” เสียงอันเฉื่อยชาแต่กลับแฝงไว้ด้วยอำนาจอันเหนือชั้นดังขึ้น
ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสามหยุดการปะทะทันทีที่ได้ยินเสียงนี้
นั่นเพราะผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงคือเซียนหมิงซิน!
การปะทะเล็กน้อยก่อนหน้านี้เซียนหมิงซินยังสามารถทำเป็นมองข้ามได้ แต่การปะทะกันระหว่างศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสามนั้นเขาไม่สามารถทำเป็นมองไม่เห็น หากทั้งสามเอาจริงสำนักย่อยที่แปดนี้คงกลายเป็นเศษซากกองอยู่กับพื้น
“คารวะเซียน!” ทุกคนกล่าวอย่างสุภาพ
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว!” เซียนหมิงซินกล่าวเพื่อจบเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
“ขอรับ!” ทุกคนกล่าวพร้อมกับล่าถอย
ก่อนที่ไช่เหมี่ยวจะจากไปเขามองไปยังหลิงฮันกับจักรพรรดินี “เริ่นเฟยอวิ๋นอาจจะคุ้มครองพวกเจ้าได้ในตอนนี้ แต่ก็ใช้ว่าจะคุ้มครองพวกเจ้าไปได้ตลอดกาล! วัฒนธรรมของสำนักไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าหรือใครอื่นจะต่อต้านได้!”
กล่าวจบเขาก็จากไปโดยไม่เห็นหลิงฮันอยู่ในสายตา สำหรับเขาแล้วหลิงฮัน ณ เวลานี้เป็นเพียงมดปลวก มีเหตุผลอันใดที่เขาต้องไปใส่ใจ?
จักรพรรดินีพยุงร่างหลิงฮันเนื่องจากพลังของหลิงฮันแทบจะถูกเผาผลาญไปจนหมดแล้ว ทั้งสองคนพากันเดินเข้าประตูลานที่พัก หลิงฮันหันกลับมามองช่องลอดสุนัขด้วยแววตาดุดัน
ความแค้นครั้งนี้ข้าขอฝากไว้ก่อน!
ทันใดนั้นหลิงฮันก็รู้สึกถึงความหนักหน่วงของหนังตาและหมดสติไป
เมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง บาดแผลส่วนใหญ่ดีขึ้นมากแล้ว ต่อให้ไม่ต้องโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ กายหยาบของเขาก็มีความสามารถฟื้นฟูตนเองที่ยอดเยี่ยม
“เจ้าตื่นแล้ว” จักรพรรดินีเข้ามายังที่พักและเผยรอยยิ้มอันงดงาม