การต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปถึงอีกวัน หลังจากที่ผู้อาวุโสของสำนักหลายคนปรึกษาหารือกันพวกเขาก็ตัดสินใจหยุดการประลอง
หากเป็นเช่นนี้ต่อให้เป็นในอีกพันปีก็คงตัดสินผู้แพ้ชนะไม่ได้
พวกเขาให้กู่ต้าวอี้เป็นผู้ชนะ!
พวกเขาตัดสินใจเช่นนี้เนื่องจากว่ากู่ต้าวอี้มีพลังที่เหนือกว่าและเป็นฝ่ายได้เปรียบ
จักรพรรดินีไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกจอมยุทธต่ำต้อยมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินให้นางเป็นฝ่ายแพ้?
“ยอมรับไม่ได้!”
“พวกเราไม่ยอม!”
“เปลี่ยนให้จักรพรรดินีเป็นฝ่ายชนะซะ!”
ผู้คนนอกลานประลองส่งเสียงโห่ร้องและเรียกร้องความเป็นธรรมให้จักพรรดินี
เสน่ห์ของนางเกินกว่าต้านทานจริงๆ กู่ต้าวอี้กลายเป็นศัตรูของฝูงคนในพริบตา
“การประลองรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นวันพรุ่งนี้”
ผู้อาวุโสของสำนักย่อยทั้งเก้าเห็นพ้องกันประกาศ “หลิงฮันปะทะกู่ต้าวอี้!”
เมื่อคำประกาศนี้ดังขึ้น ทุกคนก็กลายเป็นนิ่งเงียบ
ในตอนแรกที่เพิ่งเข้าร่วมสำนัก เซียนทั้งเก้าตกลงกันให้ขานชื่อกู่ต้าวอี้เป็นคนแรกในขณะที่หลิงฮันเป็นคนที่สอง แม้จะห่างกันเพียงหนึ่งกับสองแต่สำหรับจอมยุทธแล้วนี่สิ่งที่แสดงว่าคนไหนคือผู้ที่แข็งแกร่งกว่าและอ่อนแอกว่า
ครั้งนี้ในที่สุดทั้งสองก็จะได้สู้กันอย่างตรงไปตรงมา
หากกู่ต้าวอี้เป็นฝ่ายชนะนั่นแสดงว่าเขาเหมาะสมกับอันกับหนึ่งจริงๆ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าสายตาของเซียนทั้งเก้านั้นแหลมคมมองคนไม่ผิด แต่หากหลิงฮันเป็นฝ่ายชนะ ความอัปยศในตอนแรกก็จะถูกชำระล้างและจะมีชื่อเสียงที่เหนือไปกว่ากู่ต้าวอี้
การประลองที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นพวกเขาต้องอดใจรอคอยจนถึงพรุ่งนี้… ทำไมถึงไม่สู้กันในวันนี้ไปเลย!
หลิงฮันพาจักรพรรดินีกลับที่พัก
“ไม่ต้องไปใส่ใจ ข้าจะจัดการกู่ต้าวอี้ในวันนี้พรุ่งนี้เพื่อแก้แค้นให้เจ้า!” หลิงฮันปลอบ
จักรพรรดินียังมีท่าทีไม่ยินยอมและกล่าว “ตามแผนแล้วข้าต้องเป็นฝ่ายชนะเขาในวันนี้ และในการประลองพรุ่งนี้ข้าจะเป็นฝ่ายยอมแพ้อยู่ในอ้อมกอดของเจ้า!”
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ภรรยาข้า แบบนั้นเดี๋ยวข้าก็ถูกเจ้าเอาใจมากจนเกินไป”
จักรพรรดินียิ้มและเอนพิงไหล่ของหลิงฮันด้วยท่าทีอ่อนโยน
หลิงฮันโอบเอวของจักรพรรดินีและกล่าว “พวกเราต้องรีบกำจัดกู่ต้าวอี้ให้เร็วที่สุดเพื่อนำแก่นกำเนิดนิรันดร์มาให้เจ้าดูดซับ หากทำได้พลังบ่มเพาะของเจ้าจะยกระดับอย่างก้าวกระโดดและบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งได้อย่างรวดเร็ว”
เขาต้องการให้จักรพรรดินีบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อที่ร่างกายของนางจะได้พร้อมหลับนอนกับเขา
‘ปัง ปัง ปัง’ แต่ทันใดนั้นจู่ๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เมื่อเขาเปิดประตูก็พบว่าคนที่มาหาเขาคือเหวยเชิน ผู้อาวุโสคนที่รับผิดชอบดูแลกลุ่มศิษย์ใหม่ของสำนักย่อยที่แปด
“หลิงฮัน ตามข้ามา” เหวยเชินกล่าวโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
หลิงฮันคิดว่าอีกฝ่ายคงมาจากอธิบายข้อมูลการประลองในวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อเขาเดินตามไปจนถึงภายในลานที่พักของเหวยเชิน เขาก็พบว่ามีคนสองคนรอคอยพวกเขาอยู่ หนึ่งคือสตรีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนอีกคนที่เด็กน้อยที่นั่งเล่นดินอยู่บนพื้น
ทั้งสองคนคือภรรยาและบุตรของเซียนซิงฉา
ใบหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นมืดมน ดูเหมือนว่าเหวยเชินไม่ได้เรียกเขามาเพราะเรื่องเกี่ยวกับการประลองพรุ่งนี้แต่พาเขามาเพราะเป็นคำสั่งจากภรรยาเซียน
สตรีผู้นี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่?
“เจ้ายังจะกล้าปากเก่งอีกรึไม่?” ภรรยาเซียนกล่าวอย่างหยิ่งยโส ชื่อของนางคือจูซิ่วเอ๋อ
เขายักไหล่และกล่าว “ทำไมข้าจะพูดไม่ได้ในเมื่อข้าไม่ได้ทำอะไรผิด?”
“บังอาจ!” เหวยเชินกล่าวด้วยท่าทีขึงขัง “เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้กล้าตั้งคำถามกับภรรยาเซียน?”
อย่าว่าแต่หลิงฮันเลย ต่อให้เป็นเซียนทั้งเก้าเมื่อพบเจอจูซิ่วเอ๋อ พวกเขาก็ต้องเปลี่ยนท่าทีเป็นสุภาพนอบน้อม
ในเขตดวงดาบนับร้อยบริเวณใกล้เคียงนี้กล่าวได้ว่านางมีอำนาจใหญ่สุดเป็นอันดับสอง!
หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าไม่เคยทำอะไรผิดทำไมข้าจะตั้งคำถามไม่ได้? ว่าแต่เจ้าเรียกข้ามาในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ทำไม? หากไม่มีอะไรสำคัญข้าคงต้องขอตัวก่อน วันพรุ่งนี้ข้ามีการประลองนัดสำคัญ”
“ฮ่าๆ!” จูซิ่วเอ๋อแสยะยิ้ม “ขอตัวกลับ? ช่างเพ้อฝัน! จะวันนี้หรือพรุ่งนี้เจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเจ้าจะตระหนักได้ว่าสมควรประพฤติตัวเช่นใดเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า”
ความหมายของคำพูดนางก็คือยอมคุกเข่าก้มหัวต่อหน้าข้าและทิ้งศักดิ์ศรีไปซะ
หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าจะไปไหนเจ้ามีสิทธิ์อะไรมารั้งข้า?”
“เจ้าคิดว่าจะไปไหนได้?” จูซิ่วเอ๋อแสยะยิ้ม เหวยเชินคือตัวตนระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุด หากแม้แต่หลิงฮันที่เป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางยังไม่สามารถจัดการได้ เขาก็สมควรฆ่าตัวตายไปซะ
เหวยเชินไม่แสดงสีหน้าใดๆ
ในความคิดของเขา เขาเองก็อยากจะเห็นหลิงฮันกับกู่ต้าวอี้ปะทะกันและให้หลิงฮันนำชัยชนะมาให้กับสำนักย่อยที่แปด แต่ใครใช้ให้จูซิ่วเอ๋อทำแบบนี้กัน? หากนางยืนกรานว่าจะไม่ปล่อยหลิงฮันไป อย่าว่าแต่เขาเลยต่อให้เป็นเซียนหมิงซินก็คงทำอะไรไม่ได้และหาวิธีอื่นชดใช้อื่นให้หลิงฮันแทน
สตรีผู้นี้คือภรรยาของอาจารย์ เซียนหมิงซินจะไม่ไว้หน้านางได้อย่างไร?
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เอาเถอะ ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองต้องการให้ข้าอยู่ที่นี่เพื่อดื่มชา ข้าก็จะยอมทำตามแล้วกัน”
ฮึ่ม ใครชวนเจ้าดื่มชากัน!
จูซิ่วเอ๋อแสยะยิ้ม เจ้าจะทำเป็นไม่ตื่นตระหนกก็ได้แค่ตอนนี้เท่านั้น เอาไว้รอให้ถึงพรุ่งนี้และการประลองใกล้จะเริ่มก่อน มาดูกันว่าเจ้าจะยังทำท่าทีสงบนิ่งแบบนี้ได้อยู่รึไม่ ข้าอยากจะเห็นท่าทางของเจ้าในตอนนั้นจริงๆ
หลิงฮันนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีไม่แยแส
จูซิ่วเอ๋อจ้องมองแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร บางครั้งนางก็มีความอดทนอยู่บ้าง
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆจนในที่สุดดวงตะวันก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในช่วงเช้า อีกครึ่งชั่วโมงการประลองจะเริ่มขึ้นซึ่งจะยอมให้มาสายเพียงแค่ครึ่งชั่วโทงเท่านั้น หากเกินเวลาแล้วผู้ประลองยังมาไม่ถึงผลแพ้ชนะก็จะถูกตัดสินโดยปริยาย
จูซิ่วเอ๋อตื่นเต้นเล็กน้อย สำหรับอัจฉริยะแล้วความพ่ายแพ้ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย แต่การที่แม้แต่จะสู้ก็ยังทำไม่ได้ต่างหากที่เป็นความอัปยศอย่างไม่อาจลบล้าง
ชื่อเสียงของหลิงฮันจะถูกกล่าวขานว่าเป็นพวกขี้คลาดที่ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเข้าร่วมการประลอง
ความเคียดแค้นของสตรีช่างน่ากลัวนัก!