หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ถ้าเจ้าอยากสู้ก็เข้ามา”
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เขาย่อมไม่หวาดกลัวจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุด
ฮูช่านสูดหายใจลึก “ฮึ่ม เจ้าดูถูกพวกเราเกินไปหน่อยแล้ว! เจ้าคงคิดสินะว่าในสภาพแวดล้อมของที่นี่พวกเราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
“ในเมื่อเจ้ารนหาที่เอง ข้าก็จะทำให้เจ้าชดใช้!” เขาโคจรทักษะลับ ‘พรึบ’ พริบตาเดียวกล้ามเนื้อของเขาก็ค่อยๆขยายใหญ่ทีละส่วนจนเสื้อผ้าขาดกระจุย ราวกายของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นแข็งทนทานราวกับก้อนหินและมีขนาดร่างกายใหญ่กว่าเดิมสามถึงสี่เท่า
“ฮ่าๆ พี่ช่านฝึกฝนทักษะกายหยาบแปดศิลาสำเร็จถึงส่วนที่สอง เมื่อทักษะถูกใช้งานกายหยาบของเขาจะไร้เทียมทานที่สุด!” สตรีในกลุ่มกล่าวด้วยท่าทางอิจฉา
ทักษะลับนี้คือทักษะที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนต้องห้ามแปดศิลา มันคือทักษะรากฐานของตระกูลพวกเขาเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ทุกคนในตระกูลจะได้รับจากสั่งสอนทักษะนี้แต่ส่วนแต่ก็จะฝึกฝนสำเร็จเพียงแค่ส่วนแรกของทักษะ ทั่วทั้งดินแดนต้องห้ามแปดศิลาคนที่ฝึกส่วนที่สองสำเร็จนั้นมีเพียงแค่หยิบมือ ฮูช่านก็คือหนึ่งในนั้น
ทันทีที่ทักษะนี้ถูกใช้งาน ภัยคุกคามที่ฮูช่านได้รับจากสายลมของภูเขาก็ลดลงทำให้เขาสามารถโจมตีได้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม เพียงแต่ว่าการคงสภาพทักษะนี้เอาไว้จำเป็นต้องเผาผลาญปราณก่อเกิดบางส่วน แม้แรงกดดันที่ได้รับจากสายลมจะลดลงก็ตาม เขาก็ยังใช้พลังต่อสู้ได้เพียงครึ่งเดียวจากทั้งหมด
แต่ในความคิดของเขา เพียงแค่ครึ่งเดียวก็เพียงพอแล้ว
“ถูกบดขยี้ไปซะ!” ฮูช่านพุ่งเข้าใส่หลิงฮันราวกับวัวกระทิง
กายหยาบแปดศิลา มันคือทักษะของดินแดนแห่งเซียน!
หลิงฮันไม่หวั่นเกรง เทียบกับกายหยาบของเขาแล้วกายหยาบของอีกฝ่ายจะนับเป็นอันใดได้? เขาลงมือพุ่งทะยานเข้าใส่ฮูช่านเช่นเดียวกัน
“รนหาที่ตาย!” ฮูช่านเค้นเสียง เขาไม่รังเกียจที่จะสังหารหลิงฮันแม้แต่น้อย หลิงฮันไม่ใช่สตรีงดงามเสียหน่อย เหตุใดเขาต้องเมตตา?
ฮูช่านกวัดแกว่งหมัดใส่ศีรษะหลิงฮัน ที่รอบหมัดของเขามีหนามหินอันแหลมคมงอกออกมา
ด้วยหนึ่งหมัดนี้ ชีวิตของเจ้าจะจบสิ้น
หลิงฮันปล่อยหมัดตอบโต้ ปราณดาบถูกโคจรพร้อมกับกระตุ้นรูปแบบอาคมอีกาโลหิตทั้งสิบ
หากคนของสำนักย่อยที่แปดอยู่ที่นี่ล่ะก็ พวกเขาต้องอุทานด้วยความตะลึงแน่นอน เนื่องจากอีกาโลหิตที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นมีขนาดใหญ่กว่ารูปแบบอาคมอีกาโลหิตทั่วไปถึงร้อยเท่า
อีกาโลหิตกระพือปีกพุ่งเข้าใส่หมัดของฮูช่านโดยที่กลาง ปีกที่สะบัดไปมาของมันห้อมล้อมไปด้วยปราณดาบที่แฝงอำนาจของกาลเวลาแปรผันพันปีเอาไว้
ใบหน้าของฮูช่านเปลี่ยนสี การโจมตียังมาไม่ถึงแท้ๆ แต่เพียงแค่คลื่นพลังของมันก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว แถมตอนนี้เขายังไม่สามารถใช้พลังต่อสู้ที่แท้จริงได้อีก
ตูม!
หมัดของฮูช่านแหลกสลายทันทีที่ปะทะเข้ากับอีกาโลหิต และปราณดาบได้กระหน่ำจู่โจมใส่ฮูช่านอย่างต่อเนื่อง
“อ้ากก!” ฮูช่านร้องโอดครวญพร้อมกับล่าถอย ร่างกายของเขากลับสู่สภาพเดิมในพริบตา และหมัดของเขาถูกปกคลุมไปด้วยโลหิต
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ยอมมากับข้าแต่โดยดี ข้ามีเรื่องที่อยากถามเจ้าอยู่เยอะเลยทีเดียว”
“ฮึ่ม ฝันไปเถอะ!” ฮูช่านแสยะยิ้ม
หลิงฮันประหลาดใจ “หรือเจ้าต้องการตายอย่างสมศักดิ์ศรี?”
“ใครบอกแบบนั้น” ฮูช่านนำม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
หลิงฮันชะงัก หากกระดาษแผ่นนั้นคือม้วนคำสั่งของเซียน เขาคงหมดสิทธิ์ที่จะเอาชนะอีกฝ่าย
“ถอยกันก่อน!” ฮูช่านฉีกกระดาษ คลื่นแสงส่องสว่างไปทั่วพร้อมกับร่างของทั้งเจ็ดคนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ที่แท้ก็เป็นยันต์อาคมเคลื่อนย้ายในพริบตา
หลิงฮันมองเห็นว่าทั้งเจ็ดไม่ได้เคลื่อนที่ไปไกลนัก พวกเขาเพียงแค่กลับไปยังตีนภูเขา ด้วยการทีเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มีขนาดเล็กและระดับของยันต์อาคมเคลื่อนย้ายในพริบตาก็ไม่ได้สูง พวกเขาจึงไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปด้านนอก
เพียงแต่ว่าที่บริเวณตีนเขานั้นไม่มีสายลมพัดผ่าน
“เจ้าหนู หากกล้าก็ลงมา!” ทั้งเจ็ดตะโกน
พวกเขามีกันอยู่เจ็ดคนแถมยังมีพลังบ่มเพาะเหนือกว่าหลิงฮัน หากสู้กันที่ตีนเขาล่ะก็พวกเขาไม่หวาดกลัวแน่นอน
“พวกเจ้านั่นล่ะ หากมีความสามารถพอก็ขึ้นมา” หลิงฮันลงมือขุดทางเดินต่อโดยเลิกสนใจคนเหล่านั้น
ทั้งเจ็ดคนเกรี้ยวกราดทันที เจ้าจอมยุทธบ้านนอกคนนี้ช่างน่ารังเกียจนัก
“ไปดูที่ยอดเขาอื่นกันก่อน” พวกเขาไม่กล้าขึ้นไปยังภูเขาลูกนี้ที่มีหลิงฮันอยู่
“จะให้ใครกลับไปรายงานดีรึไม่?” ฮูจิ้งกล่าวอย่างลังเล
“แล้วใครจะกลับไปล่ะ?” ฮูช่านชำเลือง “ตอนนี้คงไม่มีใครอยากกลับไปหรอกจริงรึไม่? ยิ่งกว่านั้นการไปกลับก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงสี่ปี เวลาขนาดนั้นคิดว่าที่นี่จะเหลือสมบัติให้เก็บเกี่ยว?”
ทั้งหกคนแน่นิ่ง แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีใครอยากจะเป็นคนออกไปจากที่นี่
“เอาล่ะ ไปดูยอดเขาลูกอื่นกันก่อน!” ในเมื่อไม่มีใครอยากกลับออกไปพวกเขาจึงเลือกไปสำรวจภูเขาลูกอื่น
หลิงฮันไม่สนใจทั้งเจ็ดคนและเก็บรวบรวมแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์อย่างมีความสุข ตราบใดที่ทั้งเจ็ดคนยังไม่กลับออกไปจากที่นี่เขาก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
วันต่อมา พวกหลิงฮันทั้งสองคนก็มาถึงยอดเขาในที่สุด
เมื่อมาถึงตรงนี้ แรงกดดันที่ได้รับจากกรงเล็บมหึมานั้นรุนแรงยิ่งกว่าเดิมมาก หัวใจของหลิงฮันกับจักรพรรดินีเต้นรัวราวกับจะระเบิดได้ตลอดเวลา
“เจ้าเข้าไปซ่อนตัวก่อนดีไหม?” หลิงฮันเอ่ยถามจักพรรดินี
“ข้ายังไหว เมื่อถึงขีดจำกัดแล้วข้าจะบอกเจ้า” จักรพรรดินีกล่าว
หลิงฮันพยักและกวาดสายตามองเบื้องหน้า
ตำหนักได้ถูกกรงเล็บมหึมาบดขยี้จนแหลกแต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้อยู่ว่าทั้งกำแพงและแผ่นปูรองของตำหนักนั้นไม่ใช่วัสดุธรรมดา แต่เนื่องจากพลังทำลายของกรงเล็บมหึมาแก่นพลังของพวกมันจึงพังทลายไปอย่างสมบูรณ์ มีเพียงบางส่วนเล็กน้อยเท่านั้นที่ยังอยู่ในสภาพเดิม
“นี่มัน… หยกครามต้นกำเนิด!” หลิงฮันตกตะลึงทันทีที่รู้ว่า
หยกครามต้นกำเนิดคือวัสดุเซียน มีตำนานกล่าวว่าตราบใดที่หยกชนิดนี้มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้น มีโอกาสที่หยกครามต้นกำเนิดจะมีความนึกคิดจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตได้ มีกายหยาบที่เกิดจากวัสดุเซียนนั้นหมายความสิ่งมีชีวิตที่ว่าจะสามารถกลายเป็นเซียนได้อย่างแน่นอน!
ซึ่งนั่นก็เหมือนกับบิดาของฉือหวง
หลิงฮันตกตะละจึงจนแทบจะหายใจไม่ทัน หยกครามต้นกำเนิดนั้นคือแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเจ็ด หรือก็คือวัสดุเซียนระดับต่ำสุด แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับถูกใช้มาสร้างเป็นตำหนัก
น่าเสียดายที่หยกครามต้นกำเนิดแทบทั้งหมดถูกกรงเล็บมหึมาลายแก่นพลังไปอย่างสมบูรณ์แล้วจึงไม่หลงเหลือคุณสมบัติศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย หลิงฮันรู้สึกเจ็บปวดทรมานหัวใจเป็นอย่างมาก
ใครเป็นเจ้าของกระเล็บสุนัขบัดซบนี้? ในอนาคตข้าจะไปชำระหนีแค้นให้ได้!
หลิงฮันเก็บรวบรวมหยกครามต้นกำเนิดส่วนน้อยที่ยังหลงเหลืออยู่เข้าไปในหอคอยทมิฬด้วยสีหน้าทรมานเจ็บปวดใจ หากใครมาเห็นต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นแน่ เจ้ากำลังเก็บเกี่ยววัสดุเซียนอยู่จริงรึเปล่า เหตุใดถึงมีสีหน้าเป็นทุกข์เช่นนั้น?