ตราประทับเป่าผิงส่องประกายแสงพุ่งเข้าใส่หลิงฮันด้วยพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว
อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพมุ่งเน้นไปที่การบดขยี้และทำลาย
หลิงฮันยกมือขึ้นรับการโจมตีของอีกฝ่ายพร้อมกับซึมซับทำความเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพไปพร้อมๆกัน
หากเขาสามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนพร้อมกันได้อย่างเชี่ยวชาญ พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
เพียงแต่ว่าการบรรลุให้ถึงขั้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างดีคิด
หลิงฮันพบว่าตนเองกำลังค่อยๆลืมเลือนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปทีละน้อย!
เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะหลงลืมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เคยฝึกฝนมาแล้ว?
ไม่ใช่ว่าหลิงฮันหลงลืม แต่เป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพที่กำลังกลืนกินอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อำนาจทั้งสองนี้ตรงกันข้างกันอย่างสิ้นเชิงราวกับน้ำและไฟ พวกมันไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ กล่าวคือหากใครอยากจะอยู่ในดินแดนใต้พิภพแห่งนี้ก็จำเป็นต้องลืมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปให้หมด
เพียงแต่ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นตอนอยู่ในหอคอยทมิฬ หลิงฮันเพิ่งสังเกตว่ากฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขาเริ่มหายไปในไม่กี่วันที่ออกมาจากหอคอยทมิฬ
ไม่ว่าแปลกใจที่ทำไมในระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนานนี้ถึงไม่มีเซียนคนใดเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ นั่นเพราะสวรรค์และปฐพีไม่ยินยอม!
แต่สำหรับหลิงฮันเขายังมีความหวัง
นั่นเพราะเขามีหอคอยทมิฬ!
หอคอยทมิฬสามารถคัดแยกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนมาเป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของหอคอยทมิฬเองเพื่อให้หลิงฮันฝึกฝนได้
ในขณะที่หลิงฮันกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง ‘ตูม’ ตราประทับเป่าผิงกระแทกเข้าใส่ร่างของเขาอย่างรุนแรง และเป็นในตอนนี้เองที่กายหยาบของเขาสำแดงอำนาจออกมา การโจมตีของโก้วลี่ทำได้เพียงแค่ส่งร่างของเขาให้ลอยกระเด็น แต่จะให้เขาบาดเจ็บน่ะรึ? บอกเลยว่ายาก
ณ เวลานี้ต่อให้เป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดก็แทบจะไม่สามารถทำให้เขาเจ็บปวดได้ เรื่องจะทำลายพลังป้องกันของเขานั้นยิ่งไม่ต้องฝันถึง
หลิงฮันในตอนนี้หวาดกลัวเพียงตัวตนระดับเซียนเท่านั้น
“เจ้า…” เป่ยไคแทบจะบ้าคลั่ง เขาเห็นอย่างชัดเจนเมื่อกี้ว่าหลิงฮันเหม่อลอยไปชั่วครู่ นี่เจ้าดูถูกข้าขนาดไหนกันแน่ถึงได้มีอารมณ์คิดเรื่องอื่นในขณะที่ยังสู้อยู่?
เป่ยไคคำราม ตอนนี้เขาเกรี้ยวกราดอย่างแท้จริง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องสอนบทเรียนให้กับหลิงฮันให้ได้ พลังต่อสู้ของเขาถูกระเบิดออกมาอย่างเต็มที่และกระหน่ำทุบตีหลิงฮันอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อราชาปลดปล่อยพลังทั้งหมด พลังต่อสู้ย่อมน่าสะพรึงกลัวเกินต้าน จอมยุทธที่อยู่บนพื้นดินถึงกับตกตะลึง พลังของเป่ยไคในตอนนี้ช่างน่ากลัวนัก แต่ที่พวกเขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือหลิงฮัน แม้จะถูกทุบตีจนร่างลอยกระเด็นไปหลายทิศ เขากลับไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!
“โชคดีที่ข้าไม่ได้ไปมีเรื่องกับหมอนั่น” โก้วลี่พึมพำในขณะที่กำลังลุกคลานขึ้นมา “ตัวข้าที่มีสายเลือดของสัตว์อสูรต้นกำเนิดถึงสามประเภทและอาบโลหิตของสัตว์อสูรนับร้อยมาตั้งแต่เกิดทำให้มีกายหยาบที่ทรงพลัง แต่เมื่อเทียบกับหมอนั่นแล้วกายหยาบของข้าเปรียบเหมือนเต้าหู้ไปเลย!”
“บ้าไปแล้ว พลังป้องกันของหมอนั่นอยู่ในระดับไหนกันแน่?” ใครบางคนอุทาน
“สัตว์ประหลาด!” จอมยุทธคนอื่นๆส่ายหัว ใครที่คิดจะลอบปล้นชิงสมบัติจากหลิงฮันได้ละทิ้งความคิดนั้นไปทันที
หลิงฮันครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย
ในเมื่อเขาสามารถฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองไปพร้อมกันได้ แล้วทำไมจะผสานพวกมันให้เป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้ล่ะ?
มีคำกล่าวว่าต้องเชี่ยวชาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนถึงจะเปิดเส้นทางเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ แต่จะไม่ดีกว่ารึหากผสานพวกมันทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวกันไปเลย?
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็ไม่รีรอชักช้า
เขาลองผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองเข้าด้วยกันทันที เริ่มจากอำนาแห่งกฎเกณฑ์ของระดับภูผาวารีที่สามารถฝึกฝนได้ง่ายดายที่สุด
แต่ถึงแม้จะฝึกฝนได้ง่ายที่สุดก็ใช่ว่าจะผสานเข้าด้วยได้ง่ายอย่างที่คิด
เปรียบแล้วก็เหมือนการผสมสีดำกับสีขาวหรือผสมไฟเข้ากับน้ำ ตามหลักแล้วมีรึที่ทั้งสองอย่างนี้จะผสมเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว?
เพียงตาด้วยความดื้นรั้นของหลิงฮัน เขาจึงไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ เขาพยายามทดลองด้วยวิธีการต่างๆมากมายเท่าที่จะคิดได้ บางทีการผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองนี้อาจจะไม่เคยมีใครนึกจะทำมาก่อน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำสำเร็จได้ในระยะเวลาสั้น
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเป่ยไคก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัว
เขาใช้ทักษะทั้งหมดที่มีออกไปแล้ว แม้กระทั่งกระบวนที่ทรงพลังที่สุดก็ไม่ปกปิดเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถทำอะไรหลิงฮันได้เลย ยิ่งกว่าหลิงฮันยังทำท่าเหมือนกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างโดยไม่สนใจการทุบตีของเขาเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดเขาก็หยุดมือและชำเลืองมองไปยังจูเซวียนด้วยสีหน้าอับอาย “แม่นางจู ขออภัยที่ความไร้ความสามารถของข้าทำให้ท่านผิดหวัง!”
ไม่มีใครหัวเราะเยาะเขาแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่ว่าเป่ยไคไม่แข็งแกร่งแต่เป็นหลิงฮันที่ผิดมนุษย์เกินไป พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่บ่มเพาะกายหยาบได้แข็งแกร่งระดับนี้มาก่อน
จูเซวียนพยักหน้าและจ้องมองหลิงฮัน ถึงแม้นางจะยังโมโหอีกฝ่ายแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจ กายหยาบที่แข็งแกร่งขนาดนั้นทำให้แม้แต่นางที่เป็นลูกสาวของจ้าวอสูรรู้สึกสนใจ
ภายในหอคอยทมิฬ หอคอยน้อยปรากฏตัวและสั่นไหวเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าเจ้าหนูนั่นจะตระหนักได้แล้วว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนสามารถผสานรวมเข้าด้วยกันได้ ไม่เลวจริงๆ คิดว่าข้าต้องเป็นคนเตือนเขาเองเมื่อตอนที่บรรลุเป็นเซียนเสียอีก”
“ข้าจะช่วยหน่อยแล้วกัน จะอย่างไรเขาก็เป็นเจ้านายของข้า”
หอคอยปากไม่กับตรงใจกล่าวพร้อมกับกระตุ้นอำนาจของต้นสังสารวัฏและส่งผ่านไปให้กับหลิงฮัน
ที่โลกภายนอก แม้เวลาจะเดินไปด้วยความเร็วปกติ แต่สติของหลิงฮันนั้นราวกับว่าหลุดออกจากกายหยาบไปยังโลกอื่น เวลาในห้วงความคิดของเขาเดินช้าลงกว่าปกติหลายแสนหลายล้านเท่า
หลิงฮันเริ่มฉุกคิดเข้าใจหลักการอะไรบางอย่างก่อนจะเข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง ไม่รู้ว่าเวลาในห้วงความคิดของเขาผ่านไปนานเพียงใดแต่จู่ๆร่างของหลิงฮันก็สั่นสะท้าน
ใครบอกกันว่าอำนาจแห่งการสรรสร้างและการทำลายล้างไม่อาจอยู่ร่วมกันได้?
ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาหรืออย่างไร? และสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเหล่านั้นก็จะเสื่อมสลายถูกทำลายไปในที่สุด แต่ก็ใช้ว่าพอถูกทำลายไปแล้วก็จะเป็นแบบนั้นตลอดไป ผ่านไปไม่นานเดี๋ยวสิ่งใหม่ก็จะถูกสรรสร้างขึ้นมาอยู่ดี