หลิงฮันใคร่ครวญถึงหลักการของสวรรค์และปฐพี
พืชที่เติบโตย่อมถูกวัวหรือแกะกัดกิน ในกรณีนี้สิ่งที่ถูกทำลายคือพืช แต่พื้นก็ได้สร้างพลังงานหล่อเลี้ยงให้วัวหรือแกะก็มีชีวิตได้ต่อไป วัวหรือแกะที่มีชีวิตอยู่ถูกสัตว์ร้ายอย่างหมาป่าหรือพยัคฆ์จู่โจม ความตายของพวกมันกลายเป็นพลังงานชีวิตให้กับหมาป่าและพยัคฆ์
ความเป็นกับความตาย อำนาจทำลายล้างและอำนาจสรรสร้าง ห้วงจิตใจของหลิงฮันค่อยๆเกิดการเปลี่ยนแปลง
‘ครืนน’ จู่ๆร่างของเขาก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้า
พรวด!
เหล่าจอมยุทธที่อยู่รอบข้างสำลักและชะงักแน่นิ่งทันทีที่เห็น
“แสงแห่งเต๋า!”
“เป็นไปไม่ได้!”
ทุกคนแทบจะบ้าคลั่ง… นี่มันการยอมจากสวรรค์และปฐพี!
หากจะให้พูดคือ มีเพียงการสร้างทักษะหรือหลักการใหม่ขึ้นด้วยตนเองเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับจากสวรรค์ ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากสวรรค์จะได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล
น่าอิจฉา! ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก!
แววตาของจูเซวียนส่องประกาย ตอนนี้นางไม่คิดว่าหลิงฮันเป็นหัวขโมยไก่อีกต่อไป! อัจฉริยะที่ถึงขนาดสวรรค์และปฐพียังยอมรับจะเป็นหัวขโมยไก่ได้อย่างไร?
ช่างน่าขัน ทุกอย่างมีต้นเหตุมาจากโก้วลี่คนเดียว หลิงฮันเพียงแค่อยู่ผิดที่ผิดเวลาเท่านั้น
ผู้คนรอบข้างที่เห็นท่าทีของนางต่างรู้สึกเศร้าโศกในใจ เห็นได้ขัดว่าตอนนี้จิตใจของแม่นางจูกำลังสั่นไหว
หลิงฮันเผลอนั่งขัดสมาดลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว เข้าใจหลักการที่ว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองสามารถผสานรวมกันได้นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การจะนำไปฝึกฝนประยุกต์ใช้ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี
สิ่งสำคัญที่สุดเลยคือเวลาที่ต้องใช้ฝึกฝน แต่ขั้นตอนนี้ด้วยต้นสังสารวัฏหลิงฮันจึงไม่มีปัญหาใดๆ
เขาลืมตาขึ้น แสงสว่างแห่งเต๋าภายในดวงตาของเขาดูลึกลับราวกับก้นบึ้งอันไร้ที่สิ้นสุด
หลิงฮันกวาดสายตามองรอบด้านและรู้สึกประหลาดใจ เขาจำได้ว่าตนเองใช้เวลาทำความเข้าใจไปอย่างร้อยหนึ่งร้อยปีแน่นอน แต่เหตุใดพอลืมตาขึ้นมาแล้วกลับดูเหมือนว่าเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวัน? เขาไม่ได้เข้าไปในหอคอยทมิฬเสียด้วยซ้ำ หรือว่า…!
เขากล่าวในใจ “หอคอน้อย นี่เป็นฝีมือของเจ้า?”
“ข้าแค่อารมณ์ดีเลยช่วยเจ้า ไม่ต้องขอบคุณข้าเพราะตอนนี้ข้ายังรู้สึกอยู่เลยว่าตัวเองคิดผิดรึเปล่าที่ช่วยเจ้า!” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่แยแส
หลิงฮันเลิกสนใจหอคอยปากไม่ตรงกับใจและหันไปมองเป่ยไคด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษที่ข้าเหม่อลอยไปเมื่อครู่นี้ มาสู้กันต่อดีกว่า”
สู้ต่อน้องสาวเจ้าสิ!
เป่ยไคส่ายหัว แม้พลังต่อสู้ของหลิงฮันจะไม่แข็งแกร่งแต่กายหยาบของอีกฝ่ายนั้นไร้เทียมทานจนโจมตีอย่างไรก็ไม่ได้ผล หากสู้ต่อก็มีแต่จะเป็นการบั่นทอนจิตใจของตัวเขาเอง
หลิงฮันไม่สนใจว่าเป่ยไคจะว่าอย่างไรและพุ่งทะยานปล่อยหมัดทันที
เป่ยไคไม่มีทางเลือกอื่นและต้องลงมือตอบโต้
แต่ที่เขาไม่คาดคิดคือพลังต่อสู้ของหลิงฮันลดลงไปจากเดิมมาก ก่อนหน้านี้ในสิบกระบวนท่าหลิงฮันจะสามารถตอบโต้ได้หนึ่งครั้ง แต่แล้วตอนนี้ล่ะ? พลังต่อสู้ของเขาด้อยเสียกว่าระดับสุริยันจันทราเสียอีก
ไม่สิ อย่าว่าแต่ระดับสุริยันจันทราเลย ในมุมมองของเขาอาจจะเป็นเพียงระดับภูผาวารีที่ค่อนข้างแข็งแกร่งด้วยซ้ำ
“เจ้ากล้าดูหมิ่นข้าโดยการลดพลังของตัวเองลงไปขนาดนั้น?” เป่ยไคเกรี้ยวกราด นี่หลิงฮันดูถูกเขาถึงขนาดไหนกัน? “อย่าได้ล้ำเส้นเกินไป!” เขาลงมือกระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
อันที่จริงหลิงฮันไม่ได้ดูถูกอะไรเลย แต่เป็นเพราะอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งดินแดนที่เขาผสานได้สำเร็จคืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของระดับภูผาวารีเท่านั้น พลังต่อสู้ของเขาจึงไม่แข็งแกร่งอย่างที่ควรเป็น แต่ที่ทำให้หลิงฮันตกตะลึงก็คือหลังจากผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว พลังต่อสู้ของเขาถูกยกระดับจนแข็งแกร่งกว่าเดิมถึงสิบเท่า!
กล่าวก็คือหากเขาผสานอำนาจแห่งกฎเกณณ์ของทั้งสองดินแดนครบสมบูรณ์เท่าระดับพลังบ่มเพาะ พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดาวเมื่อเทียบกับราชา
ยิ่งกว่านั้นคือหลังจากผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์แล้ว อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ใหม่ของเขาจะไม่ถูกสวรรค์และปฐพีของดินแดนใต้พิภพกีดกันอีกต่อไปเนื่องจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ใหม่นี้มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพผสานอยู่ด้วย และแน่นอนว่าต่อให้เขากลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สวรรค์และปฐพีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่กีดกันลบล้างอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ใหม่นี้เช่นกัน
หลิงฮันหัวเราะดีใจ เขาระเบิดพลังต่อสู้ทั้งหมดออกมาและพุ่งเข้าปะทะกับเป่ยไค
ทุกคนกลายเป็นไร้คำพูด หากจะบอกว่าหลิงฮันจงใจแสร้งทำเป็นอ่อนแอก็ดูจะสมจริงเกินไป ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนว่าแกล้งลดพลังลงเลยแม้แต่น้อย แต่จะบอกว่าพลังต่อสู้อันน้อยนิดนี้เป็นของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ก็กระไรอยู่…
เพียงแต่ว่ายิ่งหลิงฮันต่อสู้พลังของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะอย่างไรอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในตอนนี้ก็เป็นเพียงของระดับวารีนิรันดร์ ด้วยพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ย่อมใช้เวลาไม่มากในการผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ระดับภูผาวารีทั้งสองเข้าด้วยกัน
ที่สำคัญคือเขามีอำนาจของต้นสังสารวัฏคอยเกื้อหนุนอยู่ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาจึงถูกผสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
ระดับภูผาวารี… ระดับสุริยันจันทรา… ระดับดารา!
ทุกคนแน่นิ่งไร้คำพูดในขณะที่กำลังมองเห็นว่าพลังต่อสู้ของหลิงฮันค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนเริ่มคิดแล้วว่าหลิงฮันจะต้องกำลังหยอกล้อเป่ยไคอยู่แน่นอน ไม่เช่นนั้นตัวของหลิงฮันที่ทำให้สวรรค์ยอมรับได้จะมีพลังต่อสู้ที่อ่อนแอได้อย่างไร?
มีเพียงหลิงฮันคนเดียวที่รู้ว่าเขาไม่ได้หยอกล้อเป่ยไค แต่ในทางกลับกัน เขากำลังยืมมือของเป่ยไคขัดเกลาพลังของตนเองอยู่ต่างหาก ไม่เช่นนั้นหากไม่ใช่ประสบการณ์จากการต่อสู้จริง พลังของเขาย่อมไม่มีทางพัฒนาได้รวดเร็วเช่นนี้
และแล้วในที่สุดพลังต่อสู้ของเขาก็กลับมาเป็นระดับวารีนิรันดร์อีกครั้ง ทว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วพลังต่อสู้ของหลิงฮันก็ไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป
นั่นเป็นเพราะตอนนี้ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพของเขานั้นเหนือไปกว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่มีทางผสานอำนาจแห่งเกณฑ์ทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
ช่างเสียดาย…
หลิงฮันถอนหายใจก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาชี้นิ้วโจมตีและกระตุ้นพลังของรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศทั้งสิบเอ็ดเล็กน้อย ‘ตูม’ เป่ยไคร้องโอดครวญ ร่างของเขาถูกส่งลอยกระเด็นพร้อมมีบาดแผลถูกทิ้งไว้บริเวณหน้าอก
ต่อให้เขาเป็นราชาก็ไม่สามารถต้านทานอำนาจของรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศทั้งสิบเอ็ดได้ ที่เขาบาดเจ็บไม่มากเป็นเพราะหลิงฮันใช้พลังเพียงเศษเสี้ยว หากถูกโจมตีด้วยพลังเต็มที่เขาคงถูกสังหารไปแล้ว
แข็งแกร่ง!
หากเป็นก่อนหน้านี้ทุกคนอาจจะทำใจเชื่อไม่ลง แต่หลังจากเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆนาๆก็ไม่มีสักคนเดียวที่เอ่ยกล่าวอะไรออกมา
แม้แต่เป่ยไคก็ยังพ่ายแพ้ ในที่นี่จะมีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฮันได้?
ทุกคนจ้องมองไปยังก่วงเฟยเฉิน ถึงแม้เขาจะไม่ใช่สุดยอดราชาที่อัจฉริยะที่สุด แต่ในด้านของพลังบ่มเพาะแล้วเขาคือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด กล่าวได้ว่าในระดับพลังที่ต่ำกว่าเซียนเขาคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุด อีกอย่างก่วงเฟยเฉินก็อยู่ในระดับพลังนี้มานานแล้ว พลังต่อสู้ของเขาย่อมถูกขัดเกลาจนไร้เทียมทาน
ก่วงเฟยเฉินแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่รู้ไม่เห็น เขาไม่มีความมันใจว่าจะเอาชนะหลิงฮันจึงไม่คิดจะเอาชื่อเสียงของตัวเองไปเสี่ยง