ฉื้อหวงจี่่ที่เห็นเช่นนั้นเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ด้วยความมั่นใจในพลังของคนเองเขาจึงปล่อยการโจมตีไปโดยไม่หวาดกลัว
เขาคิดมาตลอดว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสลบล้างความอัปยศแล้ว คาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งหลิงฮันจะเข้ามายังดินแดนใต้พิภพ!
จะปล่อยโอกาสนี้ไปไม่ได้
‘ปัง’ เขาปล่อยหมัดออกไป รูปแบบอาคมอสูรบนหมัดระเบิดออกราวกับดอกบัวที่กำลังเบาบานตัดผ่านสวรรค์
นี่คือทักษะตราประทับดอกบัวอสูร ทักษะที่ถูกคิดค้นโดยจ้าวอสูรขวงล่วน
หลิงฮันปล่อยหมัดตอบโต้ ในระดับพลังเดียวกันเขาไม่มีวันแพ้ให้ใคร
ตูม!
เสียงปะทะดังสนั่น ร่างของฉื้อหวงจี่่และหลิงฮันสั่นสะท้านและล่าถอยออกจากกันร้อยฟุต
ฉื้อหวงจี่่เผยสีหน้ามั่นใจออกมาทันที ทั้งสองมีพลังต่อสู้ทัดเทียมกันเนื่องจากเป็นราชาระดับสามเหมือนกัน แต่ในด้านอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เห็นได้ชัดว่าเขาเหนือกว่า อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่หลิงฮันสามารถใช้ได้ในตอนนี้อย่างมากก็คือระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้น
เพียงแต่ว่าในด้านของกายหยาบนั้นอีกฝ่ายทรงพลังกว่าเขามาก
เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดหรืออย่างไร เหตุใดร่างกายของเขาถึงได้ทนทานขนาดนั้น?
หลิงฮันส่ายหัว อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวนั้นทำให้เขามีพลังต่อสู้เหนือกว่าจอมยุทธระดับเดียวกันอย่างน้อยหนึ่งดาว แต่ความเชี่ยวชาญในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพในตอนนี้ของเขายังไม่เทียบเท่าระดับพลังบ่มเพาะปัจจุบัน จึงเป็นธรรมดาที่จะเอาชนะฉื้อหวงจี่่ที่มีพลังระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางไม่ได้
อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แถมเขาก็ไม่มีอารมณ์มาต่อสู้กับฉื้อหวงจี่่เพื่อยกระดับอำนาจแห่งกฎเกณณ์ด้วย
หลิงฮันคิดจะจบการต่อสู้นี้ให้ไวที่สุด
“พี่ชายฉื้อ ลุยเลย!” อูเจวี๋ยตะโกนให้กำลังใจจากด้านล่าง เขาคาดหวังให้หลิงฮันถูกอัดแพ้หมดสภาพต่อหน้าสตรีนกอมตะ
สตรีนกอมตะจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาไม่พอใจจนทำให้อูเจวี๋ยต้องก้มหน้าลงและแอบให้กำลังใจฉื้อหวงจี่่ในใจ
“ตราประทับดอกบัวอสูรเบ่งบาน เข่นฆ่าชีวิตนับพัน!” ฉื้อหวงจี่่ปล่อยหมัดตราประทับดอกบัวอสูรเต็มกำลังเข้าใส่หลิงฮันเพื่อหวังจะกำราบให้ราบคาบ
หลิงฮันยิ้มมุมปาก เขาสะบัดมืออย่างเรียบง่ายด้วยทักษะกาลเวลาแปรผันพันปี
พรึบ! พรึบ! พรึบ!
เมื่อตราประทัดดอกบังอสูรพุ่งมาถึงด้านหน้าหลิงฮันมันก็ถูกเร่งเวลาจนสลายหายไปไม่เหลือแม้แต่เศษเล็กเศษน้อย
กาลเวลาแปรผันพันปี… คือทักษะระดับนิรันดร์!
ฉื้อหวงจี่่ตกตะลึงอ้าปากค้าง ตราประทับดอกบัวอสูรคือทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาในตอนนี้ แต่ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮันกลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย จะให้เขายอมรับเรื่องแบบนี้งั้นรึ?
ไม่ใช่แค่เขา จ้าวอสูรขวงล่วนเองก็ดวงตาเปิดกว้างด้วยความตกตะลึง
ทักษะนั่นคือทักษะที่เขาสร้างขึ้น เขาย่อมรู้พลังอำนาจของมันเป็นอย่างดี น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมากที่ในการต่อสู้ระดับเดียวกันมันจะถูกทำลายลงได้ง่ายดายเพียงนั้น
“ยังจะต่อไหม?” หลิงฮันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ไม่ว่าจะเป็นกายหยาบที่ทรงพลังหรือกาลเวลาแปรผันพันปี เขาก็ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไร้พ่าย
“หวงจี่่ ลงมาได้แล้ว” จู่ๆจ้าวอสูรขวงล่วนก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
ฉื้อหวงจี่่รีบเหินลงมาและโค้งคำนับ “ขอรับอาจารย์!” เขารู้ว่าที่อาจารย์สั่งให้เขาลงมาเพื่อไม่ให้เขาเสียหน้าต่อหน้าสาธารณะชน
หลิงฮันไม่กล่าวอะไรและเหินลงมาอย่างช้าๆ สตรีนกอมตะรีบวิ่งมาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มทำให้อูเจวี๋ยโอดครวญราวกับถูกแย่งชิงของเล่นสุดรักไป
“ม่อหลี จัดการเรื่องที่พักให้พวกเขาด้วย” จ้าวอสูรขวงล่วนกล่าว
“รับทราบ” ม่อหลี่หยักหน้าเล็กน้อย
จ้าวอสูรขวงล่วนสะบัดแขนเสื้อ คลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองปรากฏออกมาก่อนที่เขาจะหายตัวไป เนื่องจัดการที่พักเล็กๆน้อยๆนี้เขาไม่จำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเอง แต่การที่ให้ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาเป็นคนดูแลเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาให้ความสำคัญกับหลิงฮันขนาดไหน
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมีท่าทีสุภาพกับหลิงฮัน
ม่อหลีนำทางหลิงฮันเข้าสู่ปราสาทอสูรแห่งความยุ่งเหยิง แค่การจัดหาที่พักให้พวกหลิงฮันนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร หลังจากเสร็จกิจธุระม่อหลีก็ลอยจากไป
หลิงฮันและสตรีนกอมตะเข้าไปในหอคอยทมิฬโดยขอให้จักรพรรดินีแบ่งพื้นที่ให้พวกเขาสองคนเพื่อฝึกฝน
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสามเดือน
หลิงฮันกับจักรพรรดินีลืมตาขึ้นและเผยรอยยิ้มแทบจะพร้อมกัน
พวกเขายกระดับความเชี่ยวชาญในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพจนเทียบเท่าระดับพลังของตนเองแล้ว รวมถึงผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสองเป็นหนึ่งเดียวแล้วเช่นกันทำพลังต่อสู้ของทั้งสองก้าวขึ้นไปอีกระดับ มีแต่สตรีนกอมตะที่พัฒนาช้ากว่าใคร วาสนาจากนกอมตะสวรรค์ทั้งสามทำให้พลังบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วพรวดพราดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในดินแดนใต้พิภพนี้ไม่ใช่ช่วยอะไรนัก
โชคดีที่ในหอคอยทมิฬมีต้นสังสารวัฏและเม็ดยาจำนวนมาก การพัฒนาของนางจึงไม่เชื่องช้าเกินไป เพียงแต่หากนำไปเทียบกับหลิงฮันกับจักรพรรดินีก็เป็นอีกเรื่อง…
หลิงฮันถอนหายใจ “หลังจากผสานอำนาจแห่งกฎเกณณ์แล้วพลังต่อสู้ของพวกเราแข็งแกร่งขึ้นมากก็จริง แต่ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเองก็ช้าลงเป็นเท่าตัวเช่นกัน”
หากเป็นแบบนี้ เวลาที่เขาจะได้หลับนอนกับจักรพรรดินีก็ต้องเลื่อนให้นานออกไปอีก
เขาออกจากหอคอยทมิฬโดยที่จักรพรรดินียังคงบ่มเพาะพลังต่อไป เพื่อเติมเต็มความต้องการของหลิงฮันนางจึงไม่คิดหยุดบ่มเพาะพลังแม้แต่นิดเดียว
……
“หมอนั่นออกมาแล้ว?” อูเจวี๋ยเอ่ยถาม
“ขอรับนายน้อย” ศิษย์คนหนึ่งกล่าว
“ดีมาก เตรียมคนไว้พร้อมแล้วสินะ? ให้พวกนางดำเนินแผนคืนนี้เลย!” อูเจวี๋ยถูมือด้วยท่าทางตื่นเต้น “ข้าไม่เชื่อว่าเมื่อพี่สาวเห็นหลิงฮันกำลังลุ่มหลงสาวอื่น นางจะยังชื่นชอบเขาอยู่”
ม่อหลีที่ยืนรินน้ำอยู่ด้านข้างเขากล่าว “ถ้าหากคนเรารักคนย่อมมีความเชื่อใจต่อกัน เกรงว่าแผนของท่านคงไม่สำเร็จ”
“ม่อหลี ทำไมเจ้าต้องขัดข้าด้วย?” อูเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่พอใจก่อนจะปลุกกำลังให้ตัวเอง “ต้องสำเร็จแน่ ข้าต้องการให้พี่สาวเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหมอนั่น”
“ฮะฮะ” ม่อหลีแสร้งทำเป็นหัวเราะโดยที่ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
อูเจวี๋ยเมินเฉยนาง เขาใช้เวลาหลายเดือนในการคิดแผนการนี้ขึ้นมา เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ได้ผล? เขาแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ “พี่สาวที่น่าสงสาร ข้าจะไปปลอบใจนางและให้นางโอบกอดข้าเหมือนสมัยก่อน”
ม่อหลีหลายเป็นไร้คำพูด เจ้าจะไปปลอบคนอื่นแต่กลับอยากให้คนอื่นมาโอบกอดตัวเอง? ช่างเป็นนายน้อยที่ไม่รู้จักโตเสียจริง