หลิงฮันนั่งอยู่ในลานที่และกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เผื่อหลบหนีเซียนเขาถึงได้มายังดินแดนใต้พิภพแห่งนี้ และตอนนี้เมื่ออยู่ในดินแดนใต้พิภพเป็นที่เรียบร้อยเขาก็สมควรวางแผนว่าจะอะไรต่อไปดี
แน่นอนว่าเป้าหมายหลักคือการยกระดับพลังของตัวเอง
หากยังเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ต่อไปต่อให้เขาจะเป็นจักรพรรดิปรุงยาที่สามารถกินเม็ดยาเล่นได้ราวกับเป็นลูกอมก็ยังบ่มเพาะพลังไปได้อย่างเชื่องช้า หากบ่มเพาะพลังด้วยวิธีปกติจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีในการยกระดับพลังบ่มเพาะหนึ่งชั้นย่อย
วิธีการนี้มันช้าเกินไป กว่าจะบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งเขาต้องเสียเวลาไปถึงหนึ่งพันปี
หากต้องการเร่งความเร็วในการบ่มเพาะพลังยิ่งขึ้นไปอีกจำเป็นต้องมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ แต่สมุนไพรล้ำค่าเช่นนั้นมีให้พบเห็นได้เพียงน้อยนิด
“หากข้าบุกรุกดินแดนต้องห้าม ข้าเชื่อว่าดินแดนต้องห้ามแต่ละแห่งจะต้องมีสมุนไพรเช่นนั้นอยู่อย่างน้อยที่ละหนึ่งถึงสองต้น แต่ปัญหาคือดินแดนต้องห้ามมีราชาเซียนนั่งดูแลอยู่ หากข้ามีพลังแข็งแกร่งพอจะจัดการกับตัวตนระดับนั้นข้าจะต้องการสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำไปทำไม?”
หลิงฮันคิดไม่ตก “จะหาวิธีสร้างสถานการณ์ที่ทำให้เหล่าเซียนออกมาจากดินแดนต้องห้ามและฉวยโอกาสนั้นบุกเข้าไปได้รึเปล่านะ”
แต่สถานการณ์แบบไหนถึงจะทำเช่นนั้นได้?
“เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วกัน นอกจากเรื่องยกระดับพลังให้กับตัวข้าเองแล้ว ข้าต้องทำให้ดาบอสูรนิรันดร์พัฒนาขึ้นเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบแปด สิบเก้า ยี่สิบให้ได้ และหากมีวัสดุเซียนระดับสูงอยู่มากพอ มันจะกลายเป็นอุปกรณ์นิรันดร์ในที่สุด!”
ดวงตาของหลิงฮันส่องประกาย หากดาบอสูรนิรันดร์ยกระดับขึ้นไปถึงระดับนั้น เขาจะเป็นตัวตนไร้เทียมทานในดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพอย่างแท้จริง เพียงแค่ดาบเดียวเขาย่อมสามารถสังหารราชาเซียนได้
“แต่นั่นก็เป็นปัญหาอีก หากต้องการวัสดุเซียนจำนวนมากเป็นไปได้ว่าจะยากลำบากยิ่งกว่าการหาสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำเสียอีก”
หลิงฮันถอนหายใจ เส้นทางแห่งวิถีวรยุทธมักจะติดขัดและประสบปัญหาเสมอ
“หรือจะลองไปถามจ้าวอสูรขวงล่วนดูว่ามีวิธีการใดบ้างที่สามารถสะสมปราณก่อเกิดเข้าสู่ร่างหายได้อย่างบ้าคลั่ง ข้ามีต้นสังสารวัฏอยู่แล้ว การทำความเข้าในหลักการของระดับพลังบ่มเพาะนั้นไม่ใช่ปัญหา”
‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ ในขณะที่หลิงฮันกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา
หลิงฮันเปิดประตูด้วยปราณก่อเกิดก่อนจะพบกับสตรีงดงามผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า แววตาของนางใสกระจ่างราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ริมฝีปากของนางอวบอิ่มมียั่วยวนเป็นอย่างมาก กลิ่นอายรอบตัวของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าดึงดูด
“พี่ชายฮัน!” สตรีผู้นั้นเดินพรวดเข้ามาและพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดหลิงฮัน แต่ก่อนจะถึงตัวหลิงฮันนางก็พบว่าในที่พักนี้มีหลิงฮันอยู่เพียงแค่คนเดียวนางจึงหยุดชะงักและตะโกนเสียงดัง “พี่ชายฮัน! พี่ชายฮัน!” นางตะโกนถึงสองรอบราวกับจงใจอยากให้ใครได้ยิน
หลิงฮันจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะ “อูเจวี๋ยส่งเจ้ามา?”
สตรีผู้นั้นชะงักก่อนจะส่ายหัวและเผยรอยยิ้ม “พี่ชายฮันพูดเรื่องอะไร ข้าเพียงแค่ชอบท่านเลยอยากอยู่กับท่านก็แค่นั้นเอง!” นางเอ่ยตอบหลิงฮันก่อนจะตะโกน “พี่ชายฮัน! ชายฮัน!”
หลิงฮันส่ายหัว อูเจวี๋ยช่างเด็กน้อยเสียจริงที่คิดจะใช้แผนสาวงามเช่นนี้สร้างความแตกร้าวให้เขากับสตรีนกอมตะ
เขาไม่ห้ามปรามและอยากรู้ว่าอูเจวี๋ยจะมาไม้ไหนบ้าง
ผ่านไปสัพักเสียงเคาะประตูก็ดังอีกครั้ง หลิงฮันเปิดประตูด้วยปราณก่อเกิดและได้มีสตรีงดงามอีกคนเดินพรวดพราดเข้ามา
“พี่ชายฮัน…” นางตะโกนเสียงดัง สายตาของนางมองไปยังสตรีคนแรกที่ทำสีหน้าแปลกประหลาด พอนางลองมองไปรอบข้างก็ไม่พบกับเป้าหมายอีกคน นางไม่มีคนชมและมีเพียงนักแสดง พวกนางจะแสดงละครให้ใครดู?
หลิงฮันยิ้ม “เจ้าเองก็ชอบข้าเลยเสนอตัวเป็นหมอนข้างให้ข้าเช่นกัน?”
สตรีคนที่สองใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แววตาของนางปรากฏร่องรอยของความอับอายก่อนจะพยักหน้า
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “เช่นนั้นจะมัวรออะไรอยู่ ถอดเสื้อผ้าออกสิอย่าได้เสียเวลา!”
สตรีทั้งสองตัวกระตุก เจ้าช่างโรคจิตอะไรเช่นนี้ คิดจะทำเรื่องไร้ยางอายกลางลานที่พักนี้เลย?
“อายงั้นรึ? ดูเหมือนข้าต้องเป็นคนลงมือถอดให้เอง!” หลิงฮันลงมือ สตรีทั้งสองรีบวิ่งหนีอย่างรวดเร็วแต่มีรึที่จะหนีพ้นจากเงื้อมมือของหลิงฮัน
เมื่อเห็นว่าหลิงฮันค่อยก้าวเดินเข้ามาใกล้ด้วยแววตามากตัณหา สตรีทั้งสองก็หวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด
สตรีคนหนึ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป “พวกเราไม่รู้จักท่าน นายน้อยเป็นคนส่งพวกเรามา!”
หลิงฮันยิ้ม เขามองไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกับกล่าว “ยังไม่มาพาพวกนางกลับไปอีกรึ!”
อูเจวี๋ยกำลังแอบดูอยู่ในหอคอยสูงที่ห่างไกลออกไป เมื่อเห็นแววตาของหลิงฮันจ้องมองมาเขาก็รีบก้มหัวลงทันทีราวกับจะสื่อว่า ข้าไม่ได้มองเจ้าอยู่เสียหน่อย เจ้ามองมาที่ข้าทำไม
ม่อหลีส่ายหัว เมื่อไหร่นายน้อยของนางคนนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียที? เติบโตที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงร่างกายแต่เป็นจิตใจและความคิด
นางกระโดดลงมาจากหอคอยสูงและปรากฏตัวที่ลานที่พักของหลิงฮัน
“น่าตลกอะไรอย่างนี้” นางกล่าวเบาๆ
หลิงฮันยิ้ม “ก็แค่ความคิดของเด็กน้อย”
แม้อูเจวี๋ยจะหลบอยู่ไกลออกไป แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงฮันเขาก็โมโหขึ้นมาทันที ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย!
ม่อหลีโบกมือให้กับสตรีทั้งสองและกล่าว “ไปได้แล้ว!”
ม่อหลีไม่แม้แต่มองไปที่พวกนางแต่จดจ้องไปยังหลิงฮัน “นายน้อยยังเด็กอยู่มากถึงได้ทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ เพื่อเป็นการชดเชยให้เจ้าข้าจะแนะนำอะไรบางอย่าง ในอีกหนึ่งเดือนหุบเขามหาสมุทรมังกรจะเปิดออก ข้าจะมอบสิทธิ์เข้าร่วมให้เจ้า”
หลิงฮันยิ้มและถาม “อะไรคือหุบเขามหาสมุทรมังกร?”
“ซากโบราณสถานแห่งหนึ่งที่มอบวาสนายิ่งใหญ่ให้กับจอมยุทธที่ระดับพลังต่ำกว่าสร้างสรรพสิ่ง” ม่อหลีกล่าว “โบราณสถานที่ว่าไม่ได้อยู่ในเขตดวงอรุณสาดส่อง มันถูกปกครองด้วยอำนาจของอสูรนับสิบ จำนวนของผู้ที่จะได้เข้าไปจึงมีจำกัด สิทธิ์เข้าร่วมของพวกเรามีเพียงสิบตำแหน่งเท่านั้น”
ในปราสาทอสูรแห่งความยุ่งเหยิงแห่งนี้ม่อหลีมีอำนาจมากเท่าใดกันแน่ ขนาดสิทธิ์ที่มีเพียงสิบตำแหน่งนางยังรับประกันให้หลิงฮันได้
“ตกลง อะไรที่แล้วมาก็แล้วไป จะว่าไป…” หลิงฮันแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง “ผู้อาวุโสขวงล่วนสามารถสร้างอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่ใช่รึ จะสามารถนำคนเข้าไปในอุปกรณ์มิติแล้วเข้าไปยังโบราณสถานได้รึไม่?”
ม่อหลีมองหลิงฮันราวกับคนโง่ “ถ้าฝืนนำอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในโลกจำลองมีแต่จะทำให้อุปกรณ์มิติพังทลาย”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น
หลิงฮันพยักหน้า หอคอยทมิฬเป็นอุปกรณ์นิรันดร์ที่อาจจะอยู่ในระดับที่สูงที่สุดจึงไม่ถูกจำกัดด้วยโลกจำลอง ไม่เช่นนั้นเขตแดนลี้ลับจำนวนมากที่เข้าเคยเข้ามาก่อนหน้านี้คงทำให้หอคอยทมิฬพังไปแล้วนับร้อยครั้ง
“พวกเราจะออกเดินทางในอีกสามวัน” ม่อหลีกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะจากไป