ทุกคนตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
อันที่จริงหลังจากที่ดาบอสูรนิรันดร์ปลดปล่อยอำนาจออกมาทุกคนก็คาดคิดไว้แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ แต่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่ควบแน่นดวงดาวได้มากกว่าสองล้านดวงนั้นพบเจอได้น้อยกว่าจ้าวอสูรสักคนหนึ่งเสียอีก เพราะงั้นทุกคนจึงรับไม่ได้ที่เห็นอัจฉริยะระดับนั้นตกตายต่อหน้าต่อหน้า
“ไม่จริง!” ตระกูลถังอีกสี่คนโอดครวญ ถังโม่คือรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่สุดของตระกูลถังรุ่นต่อไป ตระกูลได้ตั้งความหวังกับเขาเอาไว้มาก ไม่น่าเชื่อว่าคนระดับถังโม่จะมาตกตายที่เขตแดนลี้ลับเช่นนี้
“เจ้าไม่มีทางรอดพ้นไปได้!” ตระกูลถังคนอื่นๆชี้ไปที่หลิงฮัน “จงฆ่าตัวตายเป็นการไถ่โทษเดี๋ยวนี้!”
หลิงฮันเกาหัว คนเหล่านี้สมองมีปัญหารึเปล่า?
ถ้าเขาหวาดกลัวตระกูลถังมีรึที่เขาจะกล้าสังหารสังหาร?
“ลองพล่ามไร้สาระอีกครั้งข้าจะสังหารพวกเจ้าด้วย!” หลิงฮันจ้องมองไปยังทั้งสี่คนด้วยแววตาโหดเหี้ยม เขาไม่ใช่พวกคลั่งหารฆ่าฟันที่จะสังหารทั้งสี่คนเพียงเพราะพูดจายั่วยุเขา แต่หากพวกเขาเหล่านั้นยังไม่รู้ว่าควรประพฤตตัวอย่างไร ความปรานีของเขาก็มีจำกัด
ทั้งสี่คนปิดปากเงียบทันที พลังของพวกเขาอ่อนด้อยกว่าถังโม่มาก เพราะงั้นพวกเขาจะกล้าขัดขืนหลิงฮันได้อย่างไร?
“กระตุ้นพลังของม้วนคัมภีร์สังหารหมอนั่นเลย!” คนหนึ่งในสี่คนกระซิบเสียงเบา
“มหาสมุทรแห่งนี้มีอำนาจรุนแรงมาก หากไร้การป้องกันจากม้วนคัมภีร์พวกเราก็อาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับออกไป”
“…ยังไงตอนนี้ก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับหมอนั่นไปก่อน เพราะอย่างไรตราบใดที่พวกเขาออกจากเขตแดนลี้ลับไปได้ ผู้อาวุโสหกย่อมไม่มีวันไว้ชีวิตหมอนั่นแน่ ยิ่งกว่านั้นพี่ชายถังโม่ก็บอกด้วยว่าผู้อาวุโสหกน่าจะติดต่อไปยังตระกูลแล้ว ผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าจะต้องมาที่นี่แน่นอน!”
ณ ตอนนี้พวกเขาจะยอมเลิกราไปก่อนชั่วคราว
พวกจูป้าและคนอื่นๆตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้แค่ถังโม่เพียงคนเดียวก็สามารถทำให้พวกเขาหายใจไม่ทั่วท้องและทำได้เพียงยอมให้อีกสี่คนที่เหลือดูถูก แต่ตอนนี้เมื่อถังโม่ถูกสังหารไปแล้วทั้งสี่คนก็ไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้อีกต่อไป!
พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลิงฮันถึงสามารถกระตุ้นอุปกรณ์อสูรให้ปลดปล่อยพลังได้เต็มที่ แต่ถึงจะไม่เข้าใจก็ช่างเพราะอย่างไรหลิงฮันก็ยืนอยู่ฝั่งพวกเขาอยู่แล้ว
ม่อหลีมองไปยังตระกูลถังทั้งสี่ด้วยแววตาโหดเหี้ยมแต่ก็ไม่ลงมือทำอะไร
ทั้งสี่มีม้วนคัมภีร์คอยคุ้มกันอยู่และต่อให้จะเป็นตายยังไงพวกเขาก็คงไม่ออกมาจากม้วนคัมภีร์แน่นอน
ด้วยการคุ้มกันของม้วนคัมภีร์จ้าวอสูร ไม่มีทางเลยที่จะสังหารทั้งสี่คนได้
เพียงแต่ว่าเมื่อม้วนคัมภีร์ถูกกระตุ้นให้ปลดปล่อยพลังคุ้มกันออกมา ระยะเวลาที่พลังจะคงสภาพไว้ได้ก็มีจำกัดซึ่งทุกคนไม่เชื่อว่าพลังของม้วนคัมภีร์จะคงสภาพเอาไว้ได้นานถึงสามปี
เอาไว้รอให้ถึงตอนนั้นค่อยสังหารทั้งสี่คนทีหลังและกล่าวว่าพวกถังโม่ทั้งห้าคนตกตายไปเองในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ก็ได้ไม่ใช่รึไง?
อันที่จริงหลิงฮันก็คิดจะสังหารอีกสี่ที่เหลือเพื่อปิดปากเช่นกัน แต่หากทั้งห้าคนตกตายพร้อมกันมีรึที่ชายชราถังเฟิงจะยอมฟังคำพูดของใคร อีกฝ่ายจะต้องบ้าคลั่งและจับจอมยุทธคนอื่นๆไปตรวจสอบวิญญาณโดยตรงเพื่อค้นความจริงแน่นอน
เพราะงั้นแล้วสุดท้ายเขาก็ต้องตกเป็นเป้าหมายของถังเฟิงอยู่ดี
แต่หากเขานำศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายไปให้หอคอยน้อยซ่อมแซมตัวเองได้เขาก็จะได้รับวาสนาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถยกระดับพลังให้แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ราชานิรันดร์ กับแค่จ้าวอสูรระดับระดับเหลืองมีอะไรที่เขาต้องกลัว? แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะสิ้นเปลืองวาสนาที่ว่าไปกับถังเฟิงและคิดจะใช้มันไปกับการบุกถล่มดินแดนต้องห้ามแปดศิลา
“หอคอยน้อย วาสนาศักดิ์สิทธิ์ที่จะเจ้าให้ข้าสามารถใช้ได้กี่ครั้งและพลังที่ว่าอยู่ในระดับใด? บางทีอาจจะเป็นระดับโลกียนิพพาน?” เขาเคยถามหอคอยน้อยมาแล้วว่าระดับโลกียนิพพานนั้นสามารุบดขยี้ระดับสร้างสรรพสิ่งได้เพียงแค่นึกคิด
“สามครั้ง ระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุด” หอคอยน้อยรีบตอบ “ก่อนจะถามเรื่องนั้นเจ้ารีบไปเอาศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายมาให้ข้าเร็วๆ”
“สามครั้ง? ระดับสร้างสรรค์พสิ่งขั้นสูงสุด?” หลิงฮันต่อรอง “ไม่ถูกต้อง พลังต่ำกว่าราชานิรันดร์ที่เจ้าว่าคือแค่ระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดเองน่ะรึ?”
“ก็ไม่ใช่แบบนั้น… แต่ข้าให้เท่านี้จะเอารึไม่?” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่แยแส
หลิงฮันถอนหายใจ “ตกลง เท่านี้ก็เท่านี้”
ก่อนจะเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน พลังของระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสมบูรณ์สมควรเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุด ดูเหมือนเขาจะต้องหาศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายมาให้กับหอคอยจอมขูดเลือดขูดเนื้อตนนี้เพิ่มเพื่อแลกกับวาสนาศักดิ์สิทธิ์ที่ที่ทรงพลังขึ้น
เห้อ… ก่อนหน้านี้ยังดีกว่าเสียอีก ในอดีตทุกๆครั้งที่ทะลวงผ่านระดับพลังเขาจะได้วาสนาศักดิ์สิทธิ์มาแบบไม่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนเลย
เหล่าจอมยุทธมุ่งหน้าเดินทางต่อ ถึงแม้หลิงฮันจะได้ผลของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์มาครอบครองแต่ก็ไม่มีใครคิดจะปล้นชิง
ล้อเล่นรึเปล่า หลิงฮันไม่แค่มีอุปกรณ์อสูรแต่ยังสามารถกระตุ้นใช้งานได้เต็มพลังอีกด้วยใครกันจะกล้าปล้นชิงเขา
หลิงฮันนั่งลงบนเรือเหาะและนำเม็ดยาออกมากินเพื่อฟื้นฟูปราณก่อเกิด
บนเรือเหาะขนาดเล็ก สหายร่วมเรือจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยความยำเกรง การที่อีกฝ่ายสามารถกระตุ้นใช้งานอุปกรณ์อสูรได้นั้นสมควรค่าแก่การได้รับความเคารพจากพวกเขา
ฉื้อหวงจี่่ส่ายหัว ความห่างระหว่างเขากับหลิงฮันเริ่มห่างไกลออกไปจนเขาทำได้เพียงแหงนมองอีกฝ่าย แม้จะไม่เต็มใจแค่ไหนเขาก็ต้องยอมรับความจริงในเรื่องนี้
เรือเหาะมุ่งหน้าต่อไปไม่หยุดพัก ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงคลื่นยักษ์ก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง
ครั้งนี้พวกเขาผ่านไปได้ยากลำบากกว่าครั้งก่อนๆเนื่องจากหลิงฮันยังอยู่ในสภาพฟื้นฟูพลังปราณ เมื่อคลื่นยักษ์พัดผ่านไปเรือเหาะของพวกเขาก็พังทลายทันที
ม่อหลีนำเรือเหาะลำใหม่ออกมา เรือเหาะจำนวนหนึ่งได้ถูกเตรียมเอาไว้เพื่อการเดินทางในเขตแดนลี้ลับครั้งนี้ “จือหยวน เหิงจุน ต้าเฉิง ฉิงยู่ เซี่ยวหลง กวงหมิง พวกเจ้านั่งเรือเหาะลำอื่นย้อนกลับไปเก็บเกี่ยวสมุนไพรในบริเวณรอบนอก”
“อืม!” ทั้งหกคนที่ถูกเอ่ยชื่อพยักหน้า พลังของพวกเขาอ่อนแอเกินไปและระยะทางต่อจากนี้เรือเหาะจะไม่สามารถต้านทานคลื่นยักษ์ได้ หากอยากไปต่อพวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพาตัวเอง แต่หากทำแบบนั้นพวกเขาก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงเสียเปล่าๆ
เพราะงั้นพวกเขาจึงสมควรแยกตัวออกไป จะอย่างไรสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ก็มีอยู่ทั่วทุกที่ พวกเขาไม่จำเป็นต้องนำชีวิตที่เสี่ยงเพื่อมุ่งหน้าต่อ
กลุ่มของพวกเขาสิบคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งกลุ่มล่าถอย ส่วนกลุ่มที่มุ่งหน้าต่อมีเพียงหลิงฮัน ม่อหลี ฉื้อหวงจี่่และอูเจวี๋ยสี่คน
เมื่อคลื่นยักษ์ระลอกต่อไปพัดมาหลิงฮันก็ฟื้นฟูปราณก่อเกิดแทบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เรือเหาะถูกบดขยี้ในพริบตาและคลื่นยักษ์ได้ถาโถมเข้าใส่พวกเขาทั้งสี่คน
หลิงฮันไม่หวั่นเกรง กายหยาบของเขาต้านทานไหวอยู่แล้ว ม่อหลีเองก็สามารถป้องกันตนเองไหว ฉื้อหวงจี่่หืดขึ้นคอ ในขณะที่อูเจวี๋ยนั้นได้รับการคุ้มกันจากสร้อยคอทำให้ผ่านพ้นคลื่นยักษ์มาอย่างหวุดหวิด
นี่คือเหตุผลที่ทำไมม่อหลีถึงมุ่งหน้าตาเพียงสี่คน คนอื่นๆในกลุ่มของพวกเขาไม่มีทางรับการปะทะจากคลื่นยักษ์ต่อจากนี้ไหว หากคนอื่นๆฝืนดิ้นรนกระดูกในร่างของพวกเขาคงหนีไม่พ้นถูกบดขยี้แตกหัก
ม่อหลีนั้นดูเหมือนว่าจะมีเรือเหาะอยู่ไม่ถ้วน นางนำเรือเหาะลำใหม่ออกมาเพิ่มจะได้ไม่ต้องเผาผลาญปราณก่อเกิดไปกับการเร่งรีบเหาะเหิน ถึงแม้จะช่วยได้ไม่มากแต่ก็ดีกว่าเผาผลาญพลังปราณโดยใช่เหตุ
พวกเขาเดินทางเช่นนี้ไปเรื่อยๆ สามเดือนต่อมาภูเขาที่ปลายยอดทะลุท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าไม่ไกลพวกเขา