ผลประโยชน์ที่หลิงฮันได้รับจากการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่น้อยๆ ในตอนที่ข้ามผ่านมหาสมุทรเขาเก็บสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ได้มากมาย แถมยังมีผลของสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำอีกด้วย นอกจากนั้นในตอนที่เดินขึ้นเขาก็ได้รับเม็ดยาและทักษะต่างๆจากการถอดรูปแบบอาคม หากได้รับศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายด้วยจะถือว่าสมบูรณ์แบบ
ตอนนี้เขากำลังเดินอยู่ในตำหนักขนาดมหึมาตามเส้นทางที่เฉิงหู่บอก
ระหว่างทางเขาพบกับห้องจำนวนนับไม่ถ้วนที่หากก้าวผิดจะต้องหลงอยู่ภายในนี้จนหาทางออกไม่ได้แน่นอน
ไม่น่าแปลกใจที่เฉิงหู่กล้ากล่าวว่าแม้แต่ราชานิรันดร์ก็ไม่อาจออกไปจากที่นี่ได้
หลังจากเดินมาได้หลายชั่วโมงหลิงฮันก็มาถึงห้องหินแห่งหนึ่ง เขาเปิดประตูตามวิธีการที่เฉิงหู่บอก ทันทีที่ก้าวเดินเข้าไปเขาก็พบว่าตนเองมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รอบด้านคือห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่และตรงกลางห้วงอวกาศนี้ได้มีหินขนาดมหึมาปลดปล่อยแสงสลัวอยู่เป็นระยะ
ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวาย
หลิงฮันจำได้ไม่ลืม ตอนที่อยู่ทวีปฮงเทียนเขาเคยได้รับศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายมาครั้งหนึ่ง แต่ในตอนนั้นเป็นเพราะความช่วยเหลือของฮูหนิวเขาถึงนำมันเข้าสู่หอคอยทมิฬได้
“ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งของดินแดนแห่งเซียน มันสามารถช่วยขัดเกลากายหยาบของจอมยุทธได้” เฉิงหู่กล่าว
“หนุ่มน้อย ชายชราผู้นี้หมดหน้าที่แล้ว จงรับศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายไปแล้วข้าจะปิดผนึกตำหนักตระกูลเฉิงแห่งนี้เพื่อให้มีเพียงท่านผู้นำที่สามารถค้นหาเจอ”
‘พรึบ’ ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายลอยเข้าหาหลิงฮัน
หลิงฮันรีบเก็บมันเข้าไปในแหวนมิติ ดูเหมือนว่าหลังจากที่บรรลุระดับพระเจ้าจะทำให้เขามีความสามารถในการต่อต้านอำนาจของศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวาย ก่อนหน้านี้ที่ต้องพึ่งพาฮูหนิวเป็นเพราะเขายังอ่อนแอเกินไป
‘ครืนน’ เขตแดนลี้ลับเริ่มพังทลายทันที ยังไม่ทันที่หลิงฮันจะรู้สึกตัวก็พบว่าตนเองได้ยืนอยู่กลางห้วงอวกาศรกร้าง ไม่ไกลออกไปจากเขามีจ้าวอสูรหลายสิบคนยืนอยู่โดยนำพาดมือไว้ที่ด้านหลัง
ระยะเวลาแค่สามปีสำหรับจ้าวอสูรแล้วไม่ต่างอะไรกับการกระพริบตา
ไม่เพียงแค่หลิงฮันแต่จอมยุทธคนอื่นๆก็ถูกส่งตัวออกมาเช่นกันพร้อมกับหุบเขามหาสมุทรมังกรได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับจะไม่มีวันปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีก
หลิงฮันถอนหายใจ เขารู้สึกราวกับตนเองเป็นดวงดาวแห่งความโชคร้ายที่ไม่ว่าไปเขตแดนลี้ลับแห่งไหนเขตแดนลี้ลับแห่งนั้นก็ต้องมาถึงจุดจบตลอด
“หืม?” ถังเฟิงกวาดสายตามองก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นมืดมน “แล้วถังโม่ล่ะ?”
“ขอตอบผู้อาวุโสหก พี่ถังโม่ถูกสังหาร!” รุ่นเยาว์ทั้งสี่ของตระกูงถังรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงโอดครวญ
“ว่าไงนะ!” ถังเฟิงตกตะลึง เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร! เขารีบกล่าว “ใครเป็นคนสังหาร?” หรือคนสังหารจะเป็นจ้าวอสูรระดับดำภายในเขตแดนลี้ลับ?
“เป็นเขา!” รุ่นเยาว์ตระกูลถังทั้งสี่คนชี้ไปยังหลิงฮัน
‘พรึบ’ สายตาทุกคู่จดจ้องไปที่หลิงฮันไม่เว้นแม้แต่ข้าวอสูรทั้งสิบแปด
เพียงแต่ว่าต่อมาจ้าวอสูรทุกคนก็ส่ายหัวและแสดงท่าท่างไม่เชื่อ
จะเป็นไปได้อย่างไร!
ถังโม่คือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ พลังของเขาเรียกได้ว่าสามารถบดขยีพวกม่อหลี จูป้าและหยุนเหอได้อย่างราบคาบ ภายใต้ระดับสร้างสรรค์พสิ่งใครจะสามารถสังหารเขาได้?
หลิงฮัน?
จ้าวอสูรขวงล่วนรู้ว่าหลิงฮันนั้นไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่คิดว่าหลิงฮันจะสามารถสังหารถังโม่ได้
“เป็นเขาจริงๆ!” รุ่นเยาว์ตระกูลถังทั้งสี่รีบอธิบายถึงเรื่องที่หลิงฮันครอบครองอุปกรณ์อสูรและสามารถกระตุ้นใช้พลังของมันได้เต็มที่
คราวนี้จ้าวอสูรทุกคนได้เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด
จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สามารถใช้พลังของอุปกรณ์อสูรได้เต็มที่?
เรื่องเพ้อฝันแบบนั้น!
เหล่าจ้าวอสูรถามศิษย์และคนของตัวเองเพื่อยืนยัน หลังจากรู้ว่าเป็นเรื่องจริงพวกเขาต่างรู้สึกตกตะลึงจนไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา
รุ่นเยาว์ผู้นี้ไม่ปกติ!
ถังเฟิงปลดปล่อยจิตสังหารมุ่งเป้ามาที่หลิงฮัน
บังอาจนักที่สังหารคนของตระกูลถัง แถมคนที่ถูกสังหารยังเป็นรุ่นเยาว์ที่สำคัญที่สุดของตระกูลอีกด้วย! ถังโม่คือความหวังของตระกูล ต่อให้เข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนแล้วเขาก็ยังคงเป็นอัจฉริยะที่เปล่งประกาย
“ตาย!” ถังเฟิงไม่พูดพล่ามและลงมือทันที
“ฮึ่ม!” จ้าวอสูรขวงล่วนเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เขาตอบโต้ปลดปล่อยคลื่นแสงสีดำเข้าใส่ถังเฟิง
ถังเฟิงหันกลับไปป้องกัน แม้เขาจะมั่นใจว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าจ้าวอสูรขวงล่วนแต่ก็ไม่การรับการจู่โจมของอีกฝ่ายตรงๆ และพอเขาหันกลับมาอีกครั้งหลิงฮันก็ฉวยโอกาสหลบไปอยู่ด้านหลังจ้าวอสูรขวงล่วนแล้ว
“เจ้ารนหาที่ตายให้ตัวเอง?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม ต่อหน้าตระกูลถังของเขาจ้าวอสูรระดับเหลืองสามารถนับเป็นอันใดได้ ผู้อาวุโสที่ห้าของพวกเขาสามารถบดขยี้ได้อย่างง่ายดาย
จ้าวอสูรขวงล่วนสะบัดแขนเสื้อ “การแย่งชิงสมบัติในเขตแดนลี้ลับย่อมมีความเสี่ยง! ยิ่งกว่านั้นหากถังโม่จะตายก็ต้องโทษที่เขาไร้ความสามารถเอง!”
หากไม่จำเป็นเขาไม่อยากบาดหมางกับถังเฟิง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ยอมให้พวกตระกูลถังเข้าไปในเขตแดนลี้ลับตั้งแต่แรก เพียงแต่เขาไม่อาจยอมปล่อยให้หลิงฮันถูกสังหารต่อหน้าเขาได้
ถังเฟิงยิ้มเย็นชา “ไม่มีใครเคยกล้าสังหารรุ่นเยาว์ของตระกูลข้ามาก่อน ความแค้นนี้ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้! เจ้าหนูนั่นต้องตาย หากเจ้าปกป้องเขาเจ้าก็ต้องตายไปด้วย รวมถึงทุกคนรอบข้างที่เกี่ยวข้องกับเจ้า!”
ช่างอวดดีนัก!
จ้าวอสูรที่สิบหกคนเกรี้ยวกราด เจ้าเป็นฝ่ายรุกล้ำอาณาของพวกเจ้าแท้ๆแต่กลับกล้าแสดงท่าทางหยิ่งยโสเช่นนั้นออกมา นี่เจ้าคิดว่าระดับพลังจ้าวอสูรของพวกข้ามีไว้ประดับเฉยๆ?
“เหอๆ ถ้าเช่นนี้ข้าคงต้องขอคำชี้แนะจากเจ้าเสียหน่อย!” จ้าวอสูรป้าเจี้ยนก้าวออกมาด้วยแววตาสู้รบ แม้เขากับจ้าวอสูรขวงล่วนจะต่อสู้กันมาเป็นเวลานานหลายล้านปีแต่พวกเขาก็เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน
อันที่จริงเขาจงใจเดินพันกับจ้าวอสูรขวงล่วนเพราะต้องการให้ทายาทของพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน
“มีใครอีกไหม?” ถังเฟิงแสยะยิ้ม “ใครที่อยากตายขอให้ก้าวเดินออกมาข้าจะได้จำให้แม่นและสังหารไม่ผิดคน!”
เจ้าอสูรที่เหลือเกรี้ยวกราดและมีสีหน้ามืดมน พวกเขาทุกคนใครบ้างไม่ใช่ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขตดวงดาวที่พวกเขาอยู่? พวกเขาทุกคนก้าวเดินออกมาโดยไม่กล่าวอะไร แม้จะไม่พูดแต่การกระทำของพวกเขาก็สื่อออกมาอย่างชัดเจนแล้ว
“เหอๆ ดี! ดีมาก!” ถังเฟิงแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะแหงนมองไปยังมุมหนึ่งของห้วงอวกาศ
‘พรึบ’ คลื่นแสงแห่งเต๋าพุ่งทะยานเข้ามาใกล้ พริบตานั้นแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวก็แพร่กระจายไปทั่วบริเวณ