โอวหยางไท่ซานเล่าให้หลิงฮันฟังเกี่ยวกับหุบเขาวารีคราม
มันคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะที่ถูกสร้างขึ้นโดยดินแดนต้องห้ามทั้งแปดของดินแดนใต้ ไม่เพียงที่แห่งนั้นจะมีทรัพยากรบ่มเพาะที่น่าอัศจรรย์แต่ยังมีจ้าวอสูรคอยให้คำชี้แนะหรือผู้ฝึกฝนสามารถบ่มเพาะได้แม้แต่ทักษะระดับนิรันดร์
ทักษะที่ว่าไม่ใช่สิ่งที่จะส่งมอบให้กันได้ง่ายๆแต่เป็นเพราะความหวังที่จะได้กลับสู่ดินแดนแห่งเซียนเหล่าขุมอำนาจของดินแดนต้องห้ามถึงได้ยอมอะลุ่มอล่วย
ในขณะเดียวกัน บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีสถานที่สำหรับบ่มเพาะพลังแบบนี้เช่นกัน มันถูกเรียกว่า “ตำหนักสันติอนันต์”
ที่หุบเขาวารีครามไม่ได้มีแต่อัจฉริยะจากดินแดนต้องห้ามทั้งแปดเท่านั้นแต่บางโอกาสพวกเขาก็นำพาเมล็ดพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมมาฝึกฝนด้วย
ยิ่งกว่านั้นคือในหุบเขาวารีครามมีอัจฉริยะที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย!
จุดประสงค์ของพันธมิตรทลายสวรรค์ไม่ใช่ฝึกฝนให้บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งแต่ต้องการฝึกฝนให้อัจฉริยะเหล่านั้นผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ให้เป็นหนึ่งได้ ดังนั้นที่หุบเขาวารีครามจึงมีอัจฉริยะบางส่วนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาฝึกฝนพยายามผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดน ในขณะเดียวกัน ทางตำหนักสันติอนันต์ก็มีอัจฉริยะของดินแดนใต้พิภพไปฝึกฝนเช่นกัน
น่าเสียดายนักที่จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครเลยที่ทำสำเร็จ
หลิงฮันตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่หุบเขาวารีคราม
ตอนนี้หอคอยทมิฬกลับมาใช้งานได้อีกครั้งแล้ว ความมั่นใจของหลิงฮันจึงกลับมาและไม่รู้สึกหวาดกลัวใครแม้จะไปที่หุบเขาวารีคราม
หลิงฮันถามด้วยว่าเป็นไปได้รึไม่ที่จะพาม่อหลีไปยังหุบเขาวารีครามด้วย แต่โอวหยางไท่ซานก็ส่ายหัวและบอกว่านางมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ
ขนาดม่อหลียังไม่มีคุณสมบัติ?
หลิงฮันตกตะลึงเป็นอย่างมาก ที่หุบเขาวารีครามต้องเต็มไปด้วยอัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาดขนาดไหนกัน
คลื่นแสงแห่งเต๋าถูกปลดปล่อยออกมาและโอวหยางไท่ซานได้พาตัวหลิงฮันจากไป
เมื่อทั้งสองคนไปจากดาวไห่คง ร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวออกมา แววตาของเขาส่องประกายด้วยความอาฆาต
ร่างนั้นคือฮูเฟิง!
เพียงแต่ว่าฮูเฟิงในตอนนี้ไม่ได้มีกลิ่นอายเหมือนตอนที่เพิ่งเข้ามายังดินแดนใต้พิภพ แต่ตัวเขาได้ผสานเข้ากับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
เขาไม่ใช่เซียนอีกต่อไปแต่เป็นจ้าวอสูร!
“หลิงฮัน ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดข้าก็จะตามไปสังหารเจ้าให้ได้! ทักษะระดับราชานิรันดร์และอุปกรณ์นิรันดร์บนตัวเจ้าต้องเป็นของข้า!” ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยแสงแห่งเต๋าสีทองก่อนที่ร่างจะลอยหายไป
เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากหลิงฮันทะลวงผ่านขั้นพลังย่อยอีกครั้งเดียว ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์จะลบล้างบ่วงอาฆาตที่ติดอยู่กับหลิงฮันอย่างสมบูรณ์ แม้ตัวเขาในตอนนี้จะฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพจนเทียบเท่าระดับสร้างสรรพสิ่งได้แล้วแต่ความเข้าใจที่จะประยุกต์ใช้ออกไปนั้นยังเป็นศูนย์
เขาต้องการเวลาอีกพักหนึ่งเพื่อฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพให้เชี่ยวชาญกว่านี้ ตอนนี้มีแค่พลังต่อสู้ของเขาส่วนน้อยเท่านั้นที่เทียบเท่ากับระดับสร้างสรรพสิ่งซึ่งยังหากไกลจากความแข็งแกร่งตอนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
หุบเขาวารีครามตั้งอยู่ไกลมาก ขนาดจ้าวอสูรก็ยังต้องใช้เวลาเกือบสามเดือนกว่าจะมาถึง
หุบเขาวารีครามได้ตั้งอยู่บนดวงดาวแต่อยู่กลางห้วงอวกาศ หากทางเข้าของมันไม่ได้เปิดอยู่แม้จะเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ก็ไม่สามารถหาพบ และเพื่อความปลอดภัยหากจะเปิดทางเข้าได้ก็ต้องใช้พลังของจ้าวอสูรสวรรค์
โอวหยางไท่ซานทำการเปิดเขตแดนลี้ลับและเข้าไปพร้อมกับหลิงฮัน
เขตแดนลี้ลับแห่งนี้คือหุบเขาอย่างแท้จริงและมีแม่น้ำที่ยาวเหยียดไหลผ่านกลางหุบเขา เมื่อมองจากมุมสูงจะพบว่าทุกอย่างในเขตแดนลี้ลับนี้ล้วนเป็นสีครามเนื่องจากพืชชนิดพิเศษที่ใช้ปลูก
“ผู้อาวุโสเก้า!” ทันทีที่พวกเขาเข้ามา คนสองคนก็ลอยมาต้อนรับ รอบกายพวกเขาอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่ทรงพลัง
ทั้งสองคือจ้าวอสูร แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่าโอวหยางไท่ซานแต่ก็ยังถือว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังมาก
โอวหยางไท่ซานพยักหน้าและกล่าว “นี่คือหลิงฮัน พวกเจ้าพาเขาไปจัดการเรื่องต่างๆด้วย”
“ขอรับ!” จ้าวอสูรทั้งสองพยักหน้าก้มหัวอย่างเคารพ ต่อหน้าจ้าวอสูรสวรรค์ จ้าวอสูรระดับอื่นล้วนแต่เปรียบดั่งมดปลวกและไม่อาจแสดงท่าทางหยาบคายใดๆ
โอวหยางไท่ซานหันหลังจากไป เขามีสถานะเป็นถึงผู้อาวุโสเก้าและยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนใต้พิภพ จะให้เขาเสียเวลาไปกับเรื่องเล็กๆน้อยๆได้อย่างไร? แค่ให้จ้าวอสูรสองคนมารับหน้าที่นี้ก็นับว่าทำเกินกว่าเหตุแล้ว
“ข้าคือเย่ซิ้งจาง”
“เจิ้งจิ่ง”
จ้าวอสูรทั้งสองแนะนำตัว “พวกเราคือผู้ฝึกสอนของที่นี่ หากเจ้าไม่เข้าใจส่วนใดของการฝึกฝนก็เอ่ยถามพวกเราได้”
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “คารวะผู้อาวุโสเย่ ผู้อาวุโสเจิ้ง”
จ้าวอสูรทั้งสองพยักหน้าเล็กน้อยและรู้สึกพึงพอใจกับท่าทีของหลิงฮัน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมได้ได้ยินมาเหมือนกันว่า ‘จอมยุทธน้อย’ คนนี้จะกลายเป็นผู้อาวุโสสิบเจ็ด
แม้ตอนนี้สถานะที่ว่าจะยังไม่ถูกแต่งตั้งแต่การที่หลิงฮันมีท่าทีถ่อมตัวเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขามองหลิงฮันในแง่ที่ดี
“ไปกันได้แล้ว พวกเราจะจัดการเรื่องที่พักให้เจ้าเป็นสิ่งแรก”
ที่พักของทุกคนนั้นตั้งอยู่บนหน้าผาของหุบเขา ที่นั่นมีที่พักหินเรียงรายกันอยู่หลายห้อง เพียงแต่ว่าสถานที่แห่งนี้นั้นสมแล้วที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการบ่มเพาะพลัง พลังวิญญาณอันหนาแน่นไร้ที่สิ้นสุดและตราประทับแห่งเต๋าได้ล่องลอยออกมาสายน้ำขนาดใหญ่ที่ไหลผ่านหุบเขา
ไม่ใช่แค่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์เท่านั้น ต่อให้เป็นระดับสร้างสรรพสิ่งก็ได้รับผลประโยชน์จากการบ่มเพาะพลังภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้
จ้าวอสูรทั้งสองจัดเตรียมที่พักให้เขาและจากไป ทั้งสองได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าจอมยุทธของที่นี่สามารถพาภรรยาของตนเองมาฝึกฝนด้วยได้แต่ห้ามรบกวนคนอื่น
หลิงฮันให้สตรีนกอมตะและจักรพรรดินีออกมา พวกตกตะลึงกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การบ่มเพาะพลังของที่นี่มาก แต่หากเทียบกับหอคอยทมิฬแล้วยังถือว่าห่างชั้น
ที่นี่มีต้นสังสารวัฏรึเปล่า? ต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียนต้นสังสารวัฏก็ยังเป็นสมบัติล้ำค่า
หอคอยน้อยบอกข่าวดีกับหลิงฮันเช่นกัน หลังจากดูดซับศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายแล้วหอคอยทมิฬก็ซ่อมแซมตัวเองได้พอสมควรทำให้ต้นสังสารวัฏเกิดการพัฒนา
จากระยะเวลาหนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปีได้เปลี่ยนเป็นหนึ่งวันเท่ากับสิบปี!
แน่นอนว่าหลิงฮันต้องตื่นเต้นมาก แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่ใช่ระดับของต้นสังสารวัฏที่แท้จริง แต่ตราบใดที่หอคอยทมิฬสามารถซ่อมแซมตัวเองจนกลับมามีสภาพสมบูรณ์ วันหนึ่งต้นสังสารวัฏคงสามารถสำแดงอำนาจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
สตรีนกอมตะอยากฝึกฝนในหอคอยทมิฬมากกว่า ส่วนจักรพรรดินีนั้นนางปล่อยให้ร่างแยกทั้งเก้าบ่มเพาะพลังต่อไปในขณะที่ร่างหลักของนางจะไปเดินเตร็ดเตร่ตามสายน้ำกับหลิงฮัน
“เจ้าคือหลิงฮัน?” เพียงแค่พวกเขาออกมาที่พักหิน คนห้าคนก็ปรากฏตัวขวางทางพวกเขาเอาไว้ พวกเขาไม่ว่าคนไหนต่างก็เปรียบดั่งมังกรและนกอมตะในหมู่มนุษย์