ด้านในหอคอยทมิฬ
กู่เฟิงตกอยู่ในความตะลึง อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตเช่นนี้ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
เขาแหงนมองและพบกับคลื่นพลังสีดำและขาวกำลังพัวพันกันอยู่บนท้องฟ้า คลื่นพลังเหล่านั้นคืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดน
“มาสิ ข้าจะพาเจ้าไปดูที่ต่างๆ” หลิงฮันยิ้ม เขาพากู่เฟิงไปดูสวนสมุนไพรต่างๆ ภายในนี้ระยะเวลาปลูกสมุนไพรหนึ่งปีจะเท่ากับพันปี
กู่เฟิงแน่นิ่งไร้คำพูดและเดินตามหลิงฮันไปด้วยสีหน้าเหม่อลอย
ใครที่เข้ามาในหอคอยทมิฬก็ต้องตกตะลึงจนอยู่ในสภาพนี้เป็นเรื่องธรรมดา
และสุดท้ายหลิงฮันก็ได้พากู่เฟิงมายังต้นสังสารวัฏที่จักรพรรดินีกับสตรีนกอมตะกำลังบ่มเพาะพลังอยู่ ตอนนี้อำนาจของต้นสังสารวัฏได้ถูกยกระดับขึ้นแล้ว หนึ่งวันใต้ต้นสังสารวัฏจะเท่ากับสิบปีและจำนวนของคนที่ร่วมบ่มเพาะได้ก็เพิ่มจากสิบคนเป็นยี่สิบคน เพราะงั้นสตรีนกอมตะจึงไม่ต้องขอแบ่งพื้นที่จากจักรพรรดินีทั้งสิบ
“นี่คือต้นสังสารวัฏ” หลิงฮันกล่าว “หากบ่มบ่มพลังใต้ต้นไม้ต้นนี้ การไหลของเวลาหนึ่งวันจะเท่ากับสิบปี”
ปากของกู่เฟิงกระตุก “ถึงว่าทำไมเจ้าที่อายุน้อยกว่าห้าร้อยปีถึงมีพลังบ่มเพาะเกือบจะเข้าใกล้ระดับสร้างสรรพสิ่งเร็วขนาดนี้!”
หลิงฮันยิ้ม ต้นสังสารวัฏก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ที่เขาบรรลุพลังในทุกวันนี้ได้เป็นเพราะที่ผ่านๆมาเขาพบเจอกับภัยอันตรายมานับไม่ถ้วนและพบเจอวาสนาจากเขตแดนลี้ลับมากมาย
แต่ในเมื่อกู่เฟิงจคิดว่าทุกอย่างเป็นเพราะต้นสังสารวัฏก็แล้วแต่
“หลิงฮัน เจ้าเชื่อใจข้ามากถึงขนาดยอมให้ข้าเห็นสมบัติที่ล้ำค่าเช่นนี้?” กู่เฟิงเผยรอยยิ้มที่ดูจริงใจ
“คนที่อุตส่าห์ออกหน้าแทนข้าในสถานการณ์เช่นนั้น ทำไมข้าจะไม่เชื่อใจ? แล้วก็…”
ตูม!
หลิงฮันยังไม่ทันกล่าวจบ จู่ๆกู่เฟิงก็ลงมือจู่โจมอย่างรุนแรงแบบไม่คาดคิด หมัดของอีกฝ่ายกวัดแกว่งเข้าใส่หน้าอกของเขา
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
กู่เฟิงโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก เขากระหน่ำโจมตีต่อเนื่องไม่หยุด เขาคือจ้าวอสูร ไม่ว่าจะเป็นพลังต่อสู้หรืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์ล้วนแต่สามารถบดขยี้หลิงฮันได้อย่างไม่ยากเย็น นอกเสียจากว่าหลิงฮันจะโคจรอำนาจของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ซึ่งจะทำให้สามารถรับการโจมตีของจ้าวอสูรได้สิบครั้ง
พลังบ่มเพาะของเขาเพิ่มสูงขึ้น ย่อมไม่แปลกที่จะสามารถรับการโจมตีของจ้าวอสูรได้มากขึ้น
หลิงฮันยืนนิ่งไม่หลบหลีกและปล่อยให้กู่เฟิงลงมือโจมตีใส่เขาตามใจชอบ
หลังจากจู่โจมไปได้ร้อยกว่าหมัด กู่เฟิงก็ชะงักและเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด หมอนี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่ไหนจะสามารถต้านทานการโจมตีของระดับสร้างสรรพสิ่งได้มากขนาดนี้? ประเด็นคือเขายังไม่เห็นหลิงฮันโคจรปราณก่อเกิดเลยด้วยซ้ำ
หลิงฮันส่ายหัวและยิ้ม “เจ้าช่างใจร้อนจริงๆ รอให้ข้าพูดจบก่อนค่อยลงมือก็ได้! เหอๆ ขอบอกก่อนว่าภายในนี้ข้าคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด หากมีใครคิดทำอะไรไม่ซื่อข้าสามารถกำจัดทิ้งได้อย่างง่ายดาย!”
“ฮึ่ม!” หอคอยน้อยปรากฏตัวด้วยท่าทางไม่พอใจ
หลิงฮันถอนหายใจ “ขอให้ข้าโอ้อวดสักครั้งไม่ได้รึไง? รู้แล้วๆ คนที่มีอำนาจสูงสุดในหอคอยทมิฬคือเจ้า ข้าแค่ควบคุมหอคอยทมิฬผ่านเจ้าเท่านั้น”
กู่เฟิงตกตะลึงจนใบหน้าเปลี่ยนสี “วิญญาณศาสตรา! เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเป็นอุปกรณ์นิรันดร์ที่มีดวงวิญญาณ เหตุใดถึงได้ยอมรับมดปลวกตนนี้กัน?”
อุปกรณ์นิรันดร์ที่มีอำนาจสูงส่งถึงขนาดสามารถสังหารราชานิรันดร์ระดับล่างได้กลับยอมรับจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ให้เป็นนาย จะให้เขาทำใจเชื่อได้งั้นรึ?
“ความรู้ของเจ้ากว้างขวางใช้ได้!” หอคอยน้อยกล่าวเย็นชาด้วยท่าทางอวดดี
กู่เฟิงสูดหายใจลึกและกล่าว “วิญญาณศาสตรา ขอให้เจ้ายอมรับข้าเป็นนายคนใหม่! ตัวข้ามีดีกว่าหมอนั่นหลายร้อย หลายพันเท่า ข้าสามารถทำให้เจ้าหวนคืนสู่จุดสูงสุดได้แน่นอน!”
“คนโง่เขลา!” หอคอยน้อยสั่นไหวเล็กน้อย “ข้าคร้านจะสนใจเจ้าแล้ว”
หอคอยน้อยส่ายไปมาก่อนจะหายไป
กู่เฟิงคิดจะไล่ตามแต่ก็ไม่รู้ว่าตามไปอย่างไร
หลิงฮันยิ้ม “นี่คือธาตุแท้ของเจ้า?”
ณ เวลานี้จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะได้หยุดบ่มเพาะพลังและเดินมายืนเคียงข้างหลิงฮัน พวกนางมองไปยังกู่เฟิงด้วยสายตาเย็นชา
“ธาตุแท้? เจ้าหมายถึงอะไร!” กู่เฟิงทำเป็นสงบนิ่ง
หลิงฮันไม่รีบร้อน เขามีเวลาเหลือเฟืออยู่แล้ว “ข้ากับเจ้านั้นเรียกว่าเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกันเลยแม้แต่น้อย แต่เจ้าก็ยังออกหน้าแทนข้า… ข้าเชื่อว่าคนที่มีคุณธรรมเช่นนั้นมีอยู่จริงในโลกแต่ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะเป็นคนแบบที่ว่า”
“ทำไมกัน?” กู่เฟิงกล่าวเสียงแข็ง
“เพราะในครั้งแรกที่เราพบกัน เจ้ามองข้าด้วยสายตาไม่เป็นมิตร” หลิงฮันกล่าว
“เพียงเพราะเหตุผลนี้?”
“แน่นอนว่านั่นก็ส่วนหนึ่ง” หลิงฮันกล่าว “เพราะงั้นข้าถึงได้ยอมให้เจ้าเข้ามาในหอคอยทมิฬ หากเจ้าเป็นคนดีที่ยอมออกหน้าเพื่อคนแปลกหน้าจริงข้าก็จะให้เจ้าได้รับผลประโยชน์จากหอคอยทมิฬด้วย”
“แต่หากในกรณีที่เจ้าไม่ได้เป็นคนดี ข้าก็ยังเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของที่นี่”
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมของหอคอยน้อยดังขึ้นมา
กู่เฟิงไม่กล่าวอะไร สายตาของเขาจดจ้องไปยังสตรีนกอมตะและจักรพรรดินี
“อย่าคิดจะจับพวกนางเป็นตัวประกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถทำได้” หลิงฮันส่ายหัว “อันที่จริงตัวตนของเจ้านั้นเดาไม่ยากเลย”
“งั้นก็ลองพูดมา” กู่เฟิงกล่าวเสียงเบา
“เจ้าใช้แซ่กู่แทนฮู และเฟิง(风)แทนเฟิง(枫)” หลิงฮันยิ้ม “ฮูเฟิง ข้าปราบปลื้มจริงๆที่เจ้าตามข้ามาถึงในดินแดนใต้พิภพแห่งนี้และหาข้าพบในที่สุด แถมยังเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองเพื่อเข้าร่วมหุบเขาวารีครามด้วย!”
ร่างของกู่เฟิงสั่นไหวและปลดปล่อยแสงสลัวออกมาเบาๆ พริบตาเดียวรูปลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
รูปลักษณ์ของเขากลับไปเป็นฮูเฟิง สุดยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนต้องห้ามแปดศิลา!
หลิงฮันปรบมือและกล่าว “ข้าขอชื่นชมที่เจ้าฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพได้รวดเร็วเพียงนี้”
ฮูเฟิงเค้นเสียงฮึดฮัด เพื่อที่จะแย่งชิงสมบัติมาจากหลิงฮันเขาลงทุนเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองและดึงดูดความสนใจของพันธมิตรทลายสวรรค์เพื่อเข้ามาในหุบเขาวารีคราม ในตอนแรกแผนของเขาคือหาโอกาสลอบสังหารหลิงฮันและชิงสมบัติมา แต่ไม่คาดคิดว่าหลิงฮันจะก่อปัญหาเช่นนั้นขึ้นเขาจึงต้องเดิมพันเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสเพื่อซื้อความเชื่อใจหลิงฮัน
เขารู้ว่าหลิงฮันมีอุปกรณ์นิรันดร์ที่สามารถหลบซ่อนตัวได้อย่างไร้ร่องรอย อย่างน้อยเซียนเช่นเขาก็ไม่อาจหาเจอ
หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างหลิงฮันไร้คุณธรรมและไม่พาเขาหลบหนีไปด้วยเขาก็จะเปิดเผยสถานะแท้จริงของตัวเองออกมา ตระกูลฮูเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของพันธมิตรทลายสวรรค์ ต่อให้การกระทำของเขาจะสร้างปัญหาใหญ่ยังไงก็ไม่ถึงขั้นถูกลงโทษจนถึงชีวิต