หลิงฮันกลับไปสนใจอุปกรณ์มิติของฮูเฟิงซึ่งส่วนใหญ่เต็มไปด้วยผลึกก่อเกิดและมีเม็ดยาอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำอยู่เลย
เวลาค่อยๆผ่านไป หลิงฮันบ่มเพาะพลังและฝึกฝนหลอมเม็ดยาทุกวันอย่างไม่หยุดหย่อน
ในตอนที่เขาเห็นข้อพิพาทระหว่างโอวหยางไท่ซานกับจ้าวอสูรสวรรค์คนอื่นๆหลิงฮันก็รู้สึกอุ่นใจ อย่างน้อยก็มีคนบางส่วนที่ไม่ทรยศและเลือกที่จะยืนอยู่ข้างเขา
ทักษะระดับราชานิรันดร์และอุปกรณ์นิรันดร์เป็นสมบัติที่ล้ำค่าเกินไป เหล่าตัวตนที่ทรงพลังของดินแดนต้องห้ามต่างๆเริ่มปรากฏตัวไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเปิดรับคนหรือฝ่ายไม่เปิดรับ
อุปกรณ์นิรันดร์นั้นมีเพียงชิ้นเดียวซึ่งเอาไว้ว่ากันทีหลัง แต่ใครบ้างจะไม่ต้องการทักษะระดับราชานิรันดร์?
หากผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ดินแดนทั้งสองกลับมาเป็นหนึ่งเดียวและมุ่งหน้าเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้เลย!
การผสานดินแดนทั้งสองให้กลับเป็นหนึ่งคือความเป็นไปได้ทางทฤษฎีเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าต่อให้มีคนช่วยทำหน้าที่เป็นแกนกลางแล้วก็ตาม จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะรวมดินแดนทั้งสองได้?
หนึ่งร้อยล้านปี? หนึ่งพันล้านปี? หมื่นล้านปี? สู้ฝึกฝนทักษะบ่มเพาะราชานิรันดร์ไปเลยจะไม่ดีกว่ารึ?
เพราะงั้น คนของฝ่ายเปิดรับคนนอกเองจึงได้เกิดความขัดแย้งกันเอง พวกเขาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับฝ่ายไม่เปิดรับคนนอกคือให้หลิงฮันส่งมอบทักษะบ่มเพาะระดับราชานิรันดร์มา ส่วนอุปกรณ์นิรันดร์ที่มีเพียงชิ้นเดียวก็ค่อยๆตัดสินกันไปว่าจะตกเป็นของใคร
จ้าวอสูรสวรรค์ที่ยังอยู่ฝั่งเดียวกับโอวหยางไท่ซานมีน้อยมาก หากนับโอวหยางไท่ซานด้วยแล้วมีเพียงสามคนเท่านั้น ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านโอวหยางไท่ซานนั้นมีถึงยี่สิบห้าคน
ผู้นำตระกูลถังมาถึงแล้ว เขาพาจ้าวอสูรสวรรค์อีกคนมาด้วยซึ่งมีอายุน้อยกว่าเขามาก จ้าวอสูรสวรรค์ผู้นี้คือคนที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากเขาและปกป้องตระกูลถังในอนาคต
“เจ้าหนูนั่นล่ะ?” ผู้นำตระกูลถังกล่าวเมื่อมาถึง ลมหายใจของเขามีอุณภูมิร้อนแรงจนเกิดคลื่นเพลิงมังกรออกมาจากจมูก
“ยังไม่ปรากฏตัวเลย” จ้าวอสูรสวรรค์คนหนึ่งกล่าว
ในเมื่อหลิงฮันไม่ปรากฏตัวพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทุกคนนั่งลงล้อมเป็นวงกลม
นอกจากพวกเขาแล้วจ้าวอสูรปฐพีและจ้าวอสูรดำก็มาเช่นกัน แต่จ้าวอสูรเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์ออกเสียงใดๆกับจ้าวอสูรสวรรค์และทำได้เพียงนั่งอยู่เฉยๆในระยะที่ห่างไกล
หลิงฮันใช้ชีวิตอย่างสบายใจอยู่ในหอคอยทมิฬโดยไม่รู้สึกเครียดเลยแม้แต่น้อย
เขาขอให้หอคอยน้อยตรวจสอบพลังของปรมาจารย์แต่ละคน
จ้าวอสูรสวรรค์สูงสุดเก้าคน จ้าวอสูรธรรมดาสิบหกคน จ้าวอสูรปฐพีสามสิบเจ็ดคนและจ้าวอสูรดำห้าสิบเอ็ดคน ส่วนจ้าวอสูรเหลืองนั้นเขาไม่คิดแม้แต่จะแยแส
ในสายตาหลิงฮันมีเพียงจ้าวอสูรสวรรค์เก้าคนเท่านั้นที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขา ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังมีโอวหยางไท่ซานและจ้าวอสูรสวรรค์สูงสุดอีกสองคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับเขา
รวมๆแล้วเขาต้องสู้กับจ้าวอสูรสวรรค์ถึงยี่สิบห้าคน!
การร่วมมือกันของทั้งยี่สิบห้าคนถือว่าน่าสะพรึงกลัวไม่น้อย แต่โชคดีที่จ้าวอสูรสวรรค์สูงสุดนั้นมีแค่เก้าคน ยิ่งกว่านั้นหากพวกโอวหยางไท่ซานสามารถรับมือกับจ้าวอสูรสวรรค์สูงสุดให้กับเขาได้บ้าง จำนวนของจ้าวอสูรสวรรค์สูงสุดที่เขาต้องเผชิญหน้าก็จะลดลง
หลิงฮันยิ้มและมองไปยังจักรพรรดินีกับสตรีนกอมตะ “ภรรยาทั้งสอง สามีของพวกเจ้าจะรีบกลับมา”
“ระวังตัวด้วย” สตรีนกอมตะกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล
แต่จักรพรรดินีนั้นไม่ใช่ นางกล่าวอย่างมั่นใจในตัวหลิงฮัน “จัดการพวกมันให้สิ้นซาก!”
หลิงพยักหน้า ร่างของเขาหายไปและปรากฏตัวขึ้นที่โลกภายนอก
“เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า” เขาผายมือทันทีที่ออกมา “แต่หากใครกล้าจู่โจม ข้าจะหายตัวไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ เหล่าจ้าวอสูรสวรรค์ที่กำลังจะลงมือก็ต้องหยุดชะงัก พวกเขาสัมผัสไม่ได้เลยว่าหลิงฮันปรากฏตัวออกมาได้อย่างไร หากหลิงฮันจะหายตัวไปอีกครั้งพวกเขาก็คงไม่อาจหยุดยั้งได้
“หนุ่มน้อย ทักษะบ่มเพาะราชานิรันดร์เป็นสิ่งล้ำค่าเกินกว่าที่เจ้าจะครอบครองคนเดียว” หนึ่งในจ้าวอสูรสวรรค์กล่าว “มอบทักษะบ่มเพาะให้พวกข้า ส่วนปัญหาต่างๆที่เจ้าก่อขึ้นพวกเราจะยอมมองข้ามไป”
“ฮึ่ม!” ผู้นำตระกูลถังเค้นเสียงไม่พอใจอย่างถึงที่สุด คนที่ถูกหลิงฮันสังหารนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นคนตระกูลถังของเขา!
หลิงฮันชำเลืองมองไปยังผู้นำตระกูลถังและชี้นิ้ว “ข้าไม่ชอบท่าทางของตาเฒ่าคนนั้นเลย ใครก็ได้ขับไล่เขาออกไปทีจะได้ไหม?”
“เจ้าเด็กเปรต!” ผู้นำตระกูลถังคำรามและพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
‘พรึบ’ ร่างของหลิงฮันหายไปในพริบตาต่อหน้าต่อตาจ้าวอสูรสวรรค์มากมาย
ทุกคนช่วยกันตรวจสอบแต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ
สุดท้ายแล้วสวรรค์ก็มีทางเลือกให้พวกเขาทางเดียวคือพวกเขาไม่อาจทำอะไรหลิงฮันได้
สองวันต่อมาหลิงฮันปรากฏตัวอีกครั้งและกล่าว “ทีนี้รู้แล้วรึยัง? ข้าขอกล่าวอีกแค่ครั้งเดียว หากใครลงมือกับข้า ข้าจะไม่ปรากฏตัวอีกตลอดกาล!”
จ้าวอสูรสวรรค์หลายคนใบหน้าแดงก่ำ แต่เพื่อทักษะบ่มเพาะราชานิรันดร์ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องอดทนไว้
หลิงฮันพยักหน้า “ต้องแบบนั้น เอาล่ะทีนี้ก็มาคุยกัน”
“เจ้าหนู…” หนึ่งในจ้าวอสูรสวรรค์อ้าปากเอ่ยกล่าว
“เจ้าหนูบิดาเจ้าสิ นี่เจ้ามีชีวิตอยู่มานานจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว? เจ้าไม่รู้จักวิธีเรียกคนอื่นด้วยความเคารพรึไง?” หลิงฮันยอกย้อนโดยไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะเป็นจ้าวอสูรสวรรค์ที่สูงส่งเพียงใด
จ้าวอสูรสวรรค์ผู้นั้นโมโหจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว หากลองเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่พูดเช่นนี้กับเขาล่ะก็ เขาจะตบอีกฝ่ายให้ตายสิ้นชีพไปเลย แต่ปัญหาคือกับหลิงฮันเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้และต้องพยายามระงับอารมณ์เอาไว้
“หากคิดจะพูดกับข้าก็ใช้กิริยาให้เหมาะสม” หลิงฮันกล่าวต่อ
“สหายน้อยหลิง!” จ้าวอสูรสวรรค์อีกคนกล่าว
“นี่สิถึงจะถูก” หลิงฮันหันไปหาจ้าวอสูรคนนั้น “เฒ่าชรา เจ้ามีชื่อว่าอะไร?”
จ้าวอสูรสวรรค์คนนั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดมน เฒ่าชรา?
“สหายน้อยหลิง เจ้าจะมอบทักษะบ่มเพาะราชานิรันดร์ให้พวกข้าได้รึไม่?” จ้าวอสูรคนที่สามรีบเอ่ยเข้าเรื่องเนื่องจากไม่ต้องการให้หลิงฮันยั่วยุใครไปมากกว่านี้
แต่ทว่าหลิงฮันกลับยิ้มไปเจ้าเล่ห์ไปยังผู้นำตระกูลถังและแสร้งทำหน้าตกตะลึง “โอ้ เฒ่าชรากุ่ยก็อยู่ที่นี่ด้วย?”
ผู้นำตระกูลถังเกือบเผลอลงมืออีกครั้ง คนอื่นเรียกเจ้าว่าเจ้าหนู เจ้าบอกว่าไม่กิริยาไม่เหมาะสม แต่ทีตัวเองกลับเรียกข้าว่าเฒ่าชรากุ่ย?
แต่เมื่อเขานึกถึงคำขู่ของหลิงฮัน เขาก็ต้องระงับความไม่สบอารมณ์เอาไว้ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“ที่ข้าออกมาพบพวกเจ้าทุกคนถือว่าเป็นความจริงใจอันล้นเหลือของข้า เพราะงั้นไม่คิดรึว่าพวกเจ้าก็สมควรแสดงความจริงใจออกมาด้วย?” หลิงฮันกล่าวก่อนจะชี้นิ้วไปยังผู้นำตระกูลถังและสะบัดนิ้วไล่
จ้าวอสูรสวรรค์ทุกคนแทบจะเป็นบ้า ก่อนหน้านี้หลิงฮันบอกว่าให้เรียกผู้นำตระกูลถังมาที่นี่เขาถึงจะออกมา แต่ตอนนี้เขากลับจะขับไสไล่ส่งผู้นำตระกูลถังให้จากไป? นี่เจ้าจะเปลี่ยนใจเร็วไปหน่อยรึเปล่า?