หานฉีพาดมือทั้งสองไว้ด้านหลังโดยไม่แยแสจ้าวอสูรทุกคนที่นี่
ในความคิดของเขา คนเหล่านี้เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น ต่อให้สังหารไปก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจ
“ข้าล่ะรังเกียจดินแดนแห่งนี้เสียจริง” เขาดึงนิ้วกลับมาก่อนจะมองไปยังฝูงชนที่กำลังมีท่าทีหวาดกลัวบนใบหน้า “ที่ที่ข้าจากมานั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกฝนวรยุทธ แต่ที่ข้าต้องมาอยู่ที่นี่เป็นเพราะผู้อาวุโสของตระกูลต้องการให้ข้ามาหาประสบการณ์”
“ข้าคิดถึงสหายของข้าเป็นอย่างมากและอยากจะกลับไปยังสถานที่ของข้าจะแย่แต่ก็ทำไม่ได้ ข้าต้องทนอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้กับมดปลวกอย่างพวกเจ้า!”
“เพียงแต่ในที่สุดสวรรค์ก็เห็นใจข้า” เขาจ้องมองไปยังจักรพรรดินี “โชคชะตาได้พาข้ามาพบกับสตรีที่งดงามเช่นนี้แถมยังได้ครอบครองสมุนไพรนิรันดร์อีก!” เขาเผยรอยยิ้มก่อนจะคว้ามือไปยังจักรพรรดินี
“หอคอยน้อย!” หลิงฮันกล่าวในใจ
‘ครืนนน’ พริบตาเดียวร่างของเขาก็ท่วมท้นไปด้วยพลังมหาศาล พลังบ่มเพาะของเขายกระดับเป็นสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดทันที ‘ปัง’ หลิงฮันปล่อยฝ่ามือต่อต้านมือที่พุ่งเข้ามาของหานฉี
“หืม?” หานฉีชะงักเล็กน้อย เขายกมือของตนเองขึ้นมาดูและพบว่าฝ่ามือของเขาปรากฏรอยแผลที่มีโลหิตใส่กระจ่างดั่งหยกไหลออกมา เขาหันไปมองที่หลิงฮันพร้อมกับกล่าว “เจ้าช่างประหลาดนัก เมื่อครู่พลังบ่มเพาะยังเป็นเพียงระดับวารีนิรันดร์แท้ๆแต่จู่ๆกลับกลายเป็นระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุด แถมออร่าของเจ้า… ยังผสานเอาไว้ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสอง! เจ้าไม่ใช่คนของที่นี่!”
โลกบรรพกาลนั้นถูกแบ่งเป็นสองดินแดนทำให้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนและไม่สามารถฝึกฝนได้พร้อมกัน
ดังนั้น การที่จะผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองเป็นหนึ่งได้จึงมีเพียงความเป็นไปได้เดียว อีกฝ่ายเป็นคนที่มาจากดินแดนแห่งเซียนเหมือนกับเขา!
เหล่าจ้าวอสูรคนอื่นๆที่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มเห็นความหวังที่จะมีชีวิตรอด
ระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุด หรือก็คือจ้าวอสูรสวรรค์สูงสุด
ตราบใดที่หลิงฮันยินดีช่วยเหลือ พวกเขาก็จะไม่ต้องตกตายด้วยเงื้อมมือของหานฉี!
หลิงฮันปลดปล่อยออร่าออกมาเพื่อทำลายหมอกควันสีขาว แต่ทว่าหมอกควันนี้แท้จริงแล้วเป็นทักษะลับของตระกูลหานที่ไม่สามารถทำลายได้ง่ายๆ สุดท้ายหลิงฮันก็สามารถสลายหมอกให้ได้เพียงแค่ตัวเองเท่านั้น
“ฮ่าๆๆๆ!” หานฉีหัวเราะ “ในเมื่อเจ้าเองก็มาจากดินแดนแห่งเซียนเจ้าไม่รู้รึว่าทักษะของข้าคือทักษะนิรันดร์? ว่าแต่เจ้ามาจากเมืองและตระกูลใดกัน? จงบอกมาแล้วข้าจะไว้ชีวิต”
เขาไต่ถามสถานะของหลิงฮัน หากหลิงฮันเป็นคนของดินแดนแห่งเซียนจริงเขาก็จะยอมเมตตา
ขุมอำนาจที่จะสามารถส่งคนมานอกดินแดนแห่งเซียนได้นั้นมีเพียงขุมอำนาจที่ทรงพลังมากๆ เพราะงั้นหากรุ่นเยาว์ที่พวกเขาส่งมาถูกสังหาร ขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจะรับรู้ได้แน่นอนว่าใครคือคนลงมือ
ด้วยเหตุนี้หานฉีจึงต้องการรู้สถานะของหลิงฮันก่อนที่จะเผลอไปยั่วยุ
แม้เขาจะหยิ่งยโสแต่ก็ไม่ได้โง่เขลา ไม่เช่นนั้นแล้วตระกูลคงไม่ส่งมาเขาหาประสบการณ์ที่โลกบรรพกาลแห่งนี้
เหล่าจ้าวอสูรเผยสีหน้ามึนงง ดินแดนแห่งเซียนคืออะไร? หรือจะเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังมากของดินแดนใต้พิภพงั้นรึ?
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เมืองธุลีจันรทรา ตระกูลติง” เขาจงใจโยนปัญหาไปให้กับตระกูลติง
หานฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแสดงสีหน้าเหยียดหยาม “ที่แท้ก็เป็นเพียงเมืองขนาดเล็กหนึ่งดาว!” ท่าทีของเขาไม่หลงเหลือความหวาดระแวงอีกต่อไป แม้เขาจะไม่เคยได้ยินชื่อของตระกูลติงแต่เขารู้ว่าเมืองธุลีจันรทราคือเมืองระดับใด ที่เมืองแห่งนั้นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดคือนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเท่านั้นซึ่งไม่สามารถนำมาเทียบกับตระกูลหานของเขาได้
เพียงแต่เขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตัวตนระดับโลกียนิพพานนั้นไม่น่าจะสามารถส่งคนออกมานอกดินแดนแห่งเซียนได้ไม่ใช่รึไงกัน? แต่จะอย่างไรก็ช่าง เขาไม่ต้องกังวลเรื่องขุมอำนาจเบื้องหลังหลิงฮันอีกต่อไป นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานไม่นับเป็นอันใดได้สำหรับตระกูลหาน
“เจ้าคงไม่รู้ที่ต่ำที่สูงสินะถึงได้กล้าต่อต้านข้า!” หานฉีแสยะยิ้ม เมื่อมันใจแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป เขาปล่อยมือขวาเข้าใส่หลิงฮันทันที
หลิงฮันโคจรทักษะรัตติกาลเงาทมิฬ ความมืดมิดอันเป็นอนันต์ปกคลุมไปทั่วพื้นที่และปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งห้า
หมอกสีขาวถูกกลืนกินและแทนที่ด้วยความมืดมิด เพียงแต่หมอกสีขาวก็ใช่ว่าจะสลายหายไปหมด รอบด้านพวกเขาแบ่งออกเป็นพื้นที่สีขาวและดำอย่างละห้าส่วน
“หืม?”
ทั้งหลิงฮันและหานฉีตกตะลึงเล็กน้อย ต่างฝ่ายต่างไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายมีพลังแข็งแกร่งถึงขนาดทัดเทียมตัวเองได้
หลิงฮันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที พลังบ่มเพาะและอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในตอนนี้เป็นสิ่งที่เขาได้รับจากหอคอยทมิฬชั่วคร่าวไม่ใช่พลังของเขาจริงๆ หลิงฮันเชื่อว่าหากเป็นพลังที่เขาบ่มเพาะเองจะต้องทรงพลังกว่านี้มาก หรือก็คือพลังของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าอัจฉริยะของดินแดนแห่งเซียน
แต่หานฉีมีท่าทีแตกต่างกับหลิงฮันอย่างสิ้นเชิง เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก ตระกูลหานเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังในดินแดนแห่งเซียนและเขาก็เป็นหนึ่งในรุ่นเยาว์ที่ทรงพลังที่สุดในตระกูลหาน หากเป็นการต่อสู้ระดับเดียวกันตัวเขาย่อมสมควรเป็นฝ่ายกำราบศัตรูได้อย่างราบคาบ
เพราะงั้นเขาจึงไม่อาจยอมรับได้ที่หลิงฮันมีพลังต่อสู้ทัดเทียมกับเขา
“ก็แค่ทักษะของพวกเรามีอำนาจเทียบเท่ากันเท่านั้น อย่าได้ลำพองใจ!” หานฉีแสยะยิ้มเหยียดหยาม พลังต่อสู้ที่แท้จริงไม่ได้ตัดสินกันด้วยทักษะเพียงอย่างเดียว
หลิงฮันยิ้ม สมควรเป็นเขาต่างหากที่ต้องพูดประโยคนั้นออกมา เขาที่ครอบครองเพลิงเก้าสวรรค์อันทรงพลัง ในระดับเดียวกันใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้?
นอกเสียจากว่าศัตรูจะมีไพ่ลับระดับราชานิรันดร์เช่นเดียวกันเป็นอย่างน้อย!
“พวกเจ้าทุกคนรีบล่าถอย ข้ารับปากว่าจะคุ้มกันพวกเจ้าให้ปลอดภัย!” หลิงฮันกล่าว เนื่องจากตอนนี้ความมืดมิดกับหมอกสีขาวกำลังต่อต้านกันอยู่ จ้าวอสูรคนอื่นๆจึงกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
จ้าวอสูรทุกคนจิตใจสั่นสะท้าน ไม่มีใครคาดคิดว่าหลิงฮันจะกล่าวเช่นนี้กับพวกเขา
“ฮึ่ม ต่อให้ล่าถอยไปไหนผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!” หานฉีไม่อาจยอมรับได้ หากเขาลงทุนปลดปล่อยทักษะลับของดินแดนแห่งเซียนออกมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรคนเหล่านี้ก็ต้องตาย!
“หมอกเหมันต์เยือกแข็ง!” หานฉีเค้นเสียง พริบตานั้นเองหมอกสีขาวก็ได้ปลดปล่อยบรรยากาศอันเย็นยะเยือกออกมา ความหนาวเย็นนี้แม้แต่จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดก็ต้องรู้สึกถึงภัยคุกคาม
ร่างของจ้าวอสูรทุกคนสั่นกระตุกไปมา ต่อให้หลิงฮันจะยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา แต่ระดับพลังของพวกเขากับหานฉีก็ห่างชั้นกันเกินไป ไม่มีทางที่พวกเขาจะต้านทานอำนาจของตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งสูงสุดได้
หลิงฮันสัมผัสจักรพรรดินีเบาๆและนำตัวนางเข้าไปในหอคอยทมิฬ หานฉีคือศัตรูทรงพลังที่เขาไม่อาจประมาทละสายตาได้ เพื่อไม่ให้เหล่าจ้าวอสูรด้านหลังฉวยโอกาสชิงตัวจักรพรรดินีไปเขาจึงต้องรับประกันความปลอดภัยของนางเสียก่อน
‘พึงระวังตัวจากผู้อื่นไว้เสมอ มิเช่นนั้นเขาอาจจะต้องรู้สึกเสียใจในภายหลัง’
หมอกเหมันต์เยือกแข็ง?
หลิงฮันยิ้ม อีกฝ่ายคงไม่คาดคิดว่าภายในร่างกายของเขานั้นจะมีเพลิงเก้าสวรรค์
เพลิงนิรันดร์!