หานฉีมีท่าทางบูดบึ้ง
เขานำธงสงครามออกมาเพื่อหวังจะกู้สถานการณ์ให้กลับกลายเป็นได้เปรียบ แต่ไม่คาดคิดว่าหลิงฮันจะเป็นฝ่ายที่น่ายำเกรงยิ่งกว่า ดาบในมือของอีกฝ่ายทำให้เขาเสียเปรียบยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ช่างน่ารังเกียจนัก!” เขาพึมพำก่อนจะหันหลังและหลบหนี
ในเมื่อไม่ทางเอาชนะได้เขาจะฝืนสู้ต่อทำไม?
เพียงแต่ว่ารอบด้านของห้วงอวกาศบริเวณนี้นั้นถูกปกคลุมไปด้วยมิติปั่นป่วน การจะกลับออกไปจำเป็นต้องใช้เวลาพอๆกับตอนที่ผ่านเข้ามา
หลิงฮันไม่ขยับตัวไล่ตามแต่เลือกสะบั้นดาบจู่โจมออกไปแทน คลื่นดาบเพลิงอันทรงพลังตัดผ่านชั้นมิติปั่นป่วนและปรากฏที่ด้านหน้าหานฉี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้หานฉีหวาดกลัวตัวสั่น… นี่มันอะไรกัน!
หลิงฮันเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน เขาแค่คิดว่าดาบอสูรนิรันดร์กับเพลิงเก้าสวรรค์นั้นทั้งสองต่างก็เป็นสิ่งที่จะมีอำนาจระดับราชานิรันดร์ในอนาคต เพราะงั้นมิติปั่นป่วนของบุปผาห้วงมิติก็ไม่น่าจะมีผลต่อการโจมตีของสองสิ่งนี้เลยลองจู่โจมออกไป
ตูม!
หานฉีถูกบังคับให้หยุดเคลื่อนที่และนำธงสงครามกวัดแกว่งตอบโต้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือคลื่นดาบเพลิงได้ทิ้งรอยไหม้เอาไว้บนธงสงคราม
หานฉีรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก ในดินแดนแห่งเซียน อุปกรณ์ระดับยี่สิบคืออุปกรณ์ที่ทรงพลังที่สุดซึ่งเป็นรองเพียงแต่อุปกรณ์นิรันดร์ อุปกรณ์นิรันดร์นั้นล้ำค่าเป็นอย่างมากโดยที่แม้แต่ผู้นำตระกูลหานของเขาก็ยังไม่มีอยู่ในครอบครอง หรือต่อให้เป็นราชานิรันดร์บางคนก็ยังไม่มี
ในดินแดนแห่งเซียนนั้นจะมีวิธียกระดับของอุปกรณ์ระดับยี่สิบให้สูงขึ้นอีกโดยการผสมผสานรวมเข้ากับวัสดุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่นๆ ในดินแดนแห่งเซียนอุปกรณ์ระดับยี่สิบที่เกิดจากการผสมผสานนี้จะเรียกว่าอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ โดยอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์จะถูกแบ่งออกเป็นหนึ่งดาวจนถึงห้าดาว
ระดับของธงสงครามของเขาแม้จะยังเป็นเพียงครึ่งดาว แต่มันก็เป็นอุปกรณ์เซียนที่เขาขัดเกลาขึ้นมาด้วยตัวเองและได้ขอร้องให้ผู้อาวุโสของตระกูลสลักสัญลักษณ์บนแผ่นธงให้เพื่อที่ธงสงครามแท่งนี้จะได้สามารถใช้ร่วมกับทักษะระดับนิรันดร์ได้
ในอนาคตเขาตั้งใจจะนำวัสดุศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมาผสมผสานให้กับธงสงครามแท่งนี้เพื่อให้มันยกระดับพลังไปพร้อมๆกับเขา แต่ทว่าเพียงแค่เขามาถึงโลกบรรพกาลไม่กี่วัน ธงเก้าเหมันต์เยือกแข็งก็ได้รับความเสียหายเสียแล้วทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก
หลิงฮันแสยะยิ้ม หานฉีไม่อาจหลบหนีความตายไปไหนได้แล้วเนื่องจากอีกฝ่ายติดอยู่ในมิติปั่นป่วน
“เจ้ารนหาที่ตายเอง!”
หลิงฮันสะบั้นดาบออกไปอย่างต่อเนื่อง ‘ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ’ ปราณดาบเฉือนทะลวงผ่านชั้นมิติและพุ่งเข้าใส่หานฉี เขาคิดจะจำกัดหานฉีโดยไว ไม่เช่นนั้นหากวาสนาศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬหมดลงเมื่อไหร่ คงกลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องหลบหนีเข้าไปในหอคอยทมิฬ
หานฉีคำรามและกวัดแกว่งธงสงครามต่อต้าน ในการปะทะแต่ละครั้งธงของเขาจะได้รับความเสียหายและถูกเผาไหม้ หลังจากรับปราณดาบไปหลายครั้งธงของเขาก็เริ่มมีสภาพพุพัง
“อย่าได้หยิ่งผยองเกินไป!” หานฉีตะโกนลั่น “ตระกูลหานของข้าเป็นผู้ปกครองเมืองเก้าสันติที่เป็นเมืองขนาดใหญ่ระดับสามดาว ตระกูลของข้าไม่ใช่ขุมอำนาจที่ตระกูลติงของเจ้าจะล่วงเกินได้!”
“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญบุกมา!” หลิงฮันไม่คิดอะไรมาก เขาเคยสัญญากับหูหยู่เอาไว้ว่าจะช่วยจัดการกับตระกูลติงให้ เพราะงั้นแม้ตัวจะยังไม่เข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนเขาก็ไม่รังเกียจที่จะสร้างปัญหาให้ตระกูลติงเสียแต่เนิ่นๆ
“แล้วเจ้าจะเสียใจ!” หานฉีกัดฟัน คนของตระกูลเมืองหนึ่งดาวกล้าดีอย่างไรมาล่วงเกินเขา รอให้เรื่องนี้รู้ถึงหูตระกูลหานก่อนแล้วหลิงฮันจะต้องร้องไห้โอดครวญ
“ข้าจะเสียใจหรือไม่ก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ข้าจะลงมือสังหารเจ้า!” หลิงฮันกล่าวโหดเหี้ยม ใครก็ตามที่คิดชั่วร้ายกับภรรยาของเขา เขาไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด
ปราณดาบจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกไปจนเกิดแสงสว่างทั่วทั้งห้วงอวกาศ
หานฉีไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ธงสงครามของเขาถูกผ่าออกเป็นสองส่วนพร้อมกับร่างกายได้ถูกปราณดาบโหมกระหน่ำเข้าใส่ไม่หยุด ต่อให้โคจรทักษะหมอกเหมันต์เยือกแข็งก็ไร้ประโยชน์
พลังทำลายล้างของดาบอสูรนิรันดร์และเพลิงเก้าสวรรค์น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก กายหยาบของหานฉีถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว
‘พรึบ!’
แต่ทันทีที่กายหยาบของหานฉีถูกทำลายและดวงวิญญาณลอยออกมาจากร่าง จู่ๆแสงสลัวลึกลับก็เปล่งประกายและปกคลุมดวงวิญญาณของเขาเอาไว้เพื่อคุ้มกันดวงวิญญาณของเขาจากคลื่นดาบเพลิง
แสงสลัวลึกลับที่ปรากฏนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก มันฉีกกระชากห้วงมิติและพาดวงวิญญาณของหานฉีหลบหนีไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ราวกับหานฉีไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน
หลิงฮันชะงักเล็กน้อย แสงสลัวเมื่อครู่คงไม่ใช่พลังของตัวหานฉีเองเนื่องจากมันแข็งแกร่งเกินกว่าจะเป็นอำนาจของจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง
“นั่นคงเป็นพลังบางอย่างที่ตระกูลหานประทับเอาไว้เพื่อคุ้มกันเขา ทันทีที่กายหยาบถูกทำลายและดวงวิญญาณกำลังจะได้รับความเสียหาย พลังนั่นจะถูกกระตุ้นให้พาดวงวิญญาณของเขากลับไปยังดินแดนแห่งเซียน”
“เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตระกูลหานที่รู้เพียงแค่ว่าข้าเป็นคนของตระกูลติงจะต้องบุกไปสร้างปัญหาให้กับตระกูลติงแน่นอน”
“ห้วงมิติบริเวณนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ควรอยู่นานนัก รีบเก็บเกี่ยวบุปผาห้วงมิติแล้วไปจากที่นี่ดีกว่า”
มือของหลิงฮันปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งเต๋าเพื่อต้านทานมิติปั่นป่วน เขาคว้ามือไปยังบุปผาห้วงมิติและนำมันเข้าไปในหอคอยทมิฬ
ทันทีที่บุปผาห้วงมิติถูกเก็บไป ห้วงมิติโดยรอบก็กลับคืนสู่สภาพปกติทันทีโดยไม่มีมิติปั่นป่วนหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยก่อนจะปลดปล่อยคลื่นเต๋าสวรรค์สีทองและหายไปจากบริเวณแห่งนี้ ในเมื่อตอนนี้พลังบ่มเพาะของเขายังเป็นระดับสร้างสรรพสิ่งสูงสุดอยู่เขาก็ต้องใช้ประโยชน์จากมันให้ถึงที่สุด
จ้าวอสูรทุกคนจ้องมองหลิงฮันจากไปพร้อมกับถอนหายใจโล่งอก
พวกเขาเป็นกังวลเหมือนกันว่าหลิงฮันจะสังหารพวกเขาหรือไม่ แต่เมื่อสัมผัสถึงออร่าของหลิงฮันไม่ได้แล้วพวกเขาก็โล่งอกและปลดปล่อยคลื่นเต๋าสวรรค์สีทองลอยออกจากที่นี่
……
ดวงวิญญาณของหานฉีที่ถูกแสงสลัวปกคลุมเอาไว้ล่องลอยผ่านกำแพงกั้นดินแดนเข้ามายังดินแดนแห่งเซียน หลายวันต่อมาดวงวิญญาณของเขาได้ลอยผ่านภูเขานับพันทะเลสาปนับหมื่นมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง
เมืองนี้มีขนาดใหญ่โตจนน่าอัศจรรย์ เพียงแค่เมืองเมืองเดียวก็มีขนาดใหญ่กว่าดวงดาวทั้งดวงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว
“ฮึ่ม!”
ตัวตนอันทรงพลังผู้หนึ่งเค้นเสียงไม่พอใจ เขาขยับมือนำดวงวิญญาณของหานฉีมาไว้ตรงหน้าและกล่าว “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันแท้ๆ แต่เจ้ากลับถูกจัดการจนอำนาจคุ้มกันในร่างต้องพาตัวเจ้ากลับมา?”
“ขอตอบผู้อาวุโสแปด ข้าถูกคนของดินแดนแห่งเซียนเหมือนกันทำร้ายจนบาดเจ็บ… ข้าเดาว่าคนคนนั้นจะต้องได้ครอบครองมรดกสืบทอดของราชานิรันดร์เป็นแน่!” หานฉีกล่าว
“ว่าไงนะ!” ผู้อาวุโสแปดที่ทรงพลังลุกขึ้นยืน “อีกฝ่ายมาจากขุมอำนาจใด?”
“ตระกูลติงของเมืองธุลีจันรทรา” หานฉีรีบกล่าว
“เมืองธุลีจันรทรา?” ผู้อาวุโสแปดชะงักเล็กน้อยก่อนจะมีท่าทางเกรี้ยวกราด “เจ้าพ่ายแพ้แม้แต่กับรุ่นเยาว์ของขุมอำนาจเมืองหนึ่งดาว?”
หานฉีแสดงออกถึงความคับข้องใจ “ขอตอบผู้อาวุโสแปด เป็นเพราะรุ่นเยาว์ผู้นั้นได้รับมรดกสืบทอดของราชานิรันดร์ข้าถึงพ่ายแพ้!”
ผู้อาวุโสแปดสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะไปยังเมืองธุลีจันรทราและให้พวกเขาคายข้อมูลของรุ่นเยาว์ที่ว่าออกมาให้ได้ แต่ก็น่าแปลก… ขุมอำนาจอ่อนแออย่างระดับโลกียนิพพานสามารถส่งคนออกไปยังโลกบรรพกาลได้อย่างไร?”
คิ้วของผู้อาวุโสแปดขมวดเข้าหากันด้วยความมึนงง