จักรพรรดินียกมือขึ้นเพื่อปล่อยฝ่ามือต่อ
ไช่เหมี่ยวรีบหันหลังเผ่นหนี แต่ทันทีที่เขาขยับตัวกลับพบว่าตัวเขาถูกส่งไปยังห้วงมิติปิดตายที่ไม่มีทั้งท้องฟ้าหรือผืนดิน ทว่าเพียงหนึ่งลมหายใจเขาก็กลับมายังโลกธรรมดาเหมือนเดิมและมีหลิงฮันปรากฏตัวยืนอยู่ตรงหน้า
ความมั่นใจของเขากลับมาทันใด จักรพรรดินีกลายเป็นตัวตนทรงพลังที่เขาไม่สามารถต่อกรได้แล้ว แต่หลิงฮันนั้นยังเป็นแค่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง ไม่มีทางอยู่แล้วที่อีกฝ่ายจะต่อกรกับศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นเขาได้
ไช่เหมี่ยวพุ่งเข้าใส่หลิงฮันอย่างไม่ลังเล เขาตั้งใจจะกำราบหลิงฮันเพื่อกู้หน้าจากการที่พ่ายแพ้จักรพรรดินี
หลิงฮันคิดหนักเป็นอย่างมาก เขาฝึกฝนทักษะทรงพลังเยอะเกินไปทำให้ไม่รู้ว่าจะใช้ทักษะใดจัดการไช่เหมี่ยวดี
รูปแบบอาคมสังหาร? เพลิงเก้าสวรรค์? ดาบฟ้าคำราม? กาลเวลาแปรผันพันปี? รัตติกาลเงาทมิฬ? ร่างเงามังกรทะยาน?
‘เห้อ’ หลิงฮันถอนหายใจเบาๆและเอื้อมมือออกไปด้านหน้า พริบตานั้นความมืดมิดอันเป็นอนันต์ก็ปกคลุมพื้นที่รอบด้านไช่เหมี่ยว บริเวณที่ถูกความมืดครอบงำนั้นมีระยะเพียงสามฟุตเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นไช่เหมี่ยวก็ไม่สามารถหนีออกมาได้
ศิษย์ทุกคนตกตะลึง ราวกับว่าหลิงฮันยังคงมีพลังของเซียนหลงเหลืออยู่ เพียงแค่ขยับมือเล็กน้อยเขาก็สามารถกักขังไช่เหมี่ยวอยู่ในความมืดได้!
เวลาผ่านไปไม่กี่ปีแท้ๆ แต่ดูเหมือนความห่างชั้นของพวกเขากับหลิงฮันจะเพิ่มขึ้นเกิดพรรณนา
จอมยุทธบางคนนั้นเกิดมาเพื่ออยู่เหนือผู้อื่นอย่างแท้จริง คนประเภทนี้สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้นับครั้งไม่ถ้วนจนผู้อื่นทำได้เพียงก้มหัว
“ศิษย์พี่หลิง!” ทุกคนส่งเสียงโห่ร้อง โลกของวรยุทธนั้นผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นที่เคารพและตอนนี้ความแข็งแกร่งของหลิงฮันก็สามารถชนะใจของทุกคน
หลิงฮันยิ้มและพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าสำนักย่อยที่แปดไปพร้อมกับภรรยาทั้งสอง ศิษย์คนอื่นๆเดินตามเขามาเช่นกันและเอ่ยถามหลิงฮันไม่หยุดว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เขาพบเจออะไรมาบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาส่วนใหญ่อยากจะรู้ว่าเหตุใดหลิงฮันถึงได้แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้
หลิงฮันไม่ปิดบัง เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่ถูกฮูเฟิงไล่ต้อนจนต้องหลบหนีไปยังดินแดนใต้พิภพ แต่เขาสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่นั่นได้สำเร็จและได้เป็นมิตรสหายกับจ้าวอสูรระดับเหลืองสองคน ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาล่ะก็พวกเขาคงไม่สามารถฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพได้และถูกจอมยุทธของที่นั่นสังหารไปแล้ว
แน่นอนว่าเรื่องสำคัญอย่างดินแดนแห่งเซียนหรือหอคอยทมิฬนั้นหลิงฮันไม่เล่าออกไป เขาต้องปรึกษาเรื่องต่างๆกับเซียนซิงฉาก่อนว่าจะประกาศออกไปดีรึไม่
“เจ้ากลับมาแล้ว” เซียนหมิงซินปรากฎตัวก่อนจะมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าตะลึง
รูปแบบอาคมสังหารยี่สิบเจ็บรูปแบบ! แถมยังเป็นรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศอันแข็งแกร่งที่สุดรองจากรูปแบบอาคมเซียน!
เด็กหนุ่มคนนี้คือสัตว์ประหลาด!
“คารวะเซียน!” หลิงฮันให้เกียรติคนที่เป็นมิตรสหาย
“มากับข้า!” เซียนหมิงซินพาหลิงฮันไปพบกับเซียนซิงฉา
หลิงฮันกล้ากลับมาได้อย่างไร เขาไม่กลัวถูกตระกูลฮูสังหารรึ?
หลิงฮันบอกเซียนทั้งสองไปเพียงว่าเขามีความสามารถที่จะทำให้พลังบ่มเพาะยกระดับเป็นราชาเซียนช่วงสั้นๆ เพราะงั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของตระกูลฮู นอกจากนั้นหลิงฮันก็เปิดเผยถึงการมีอยู่ของดินแดนแห่งเซียนให้เซียนทั้งสองรับรู้ด้วย ในตอนที่เขาเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ เขาไม่รังเกียจที่จะพามิตรสหายบางคนไปกับเขาด้วย
เซียนทั้งสองตกตะลึง พวกเขาเป็นตัวตนสูงสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หากไปยังดินแดนแห่งเซียนพวกเขาคงไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์
เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหดหู่ไม่น้อย แต่ก็ทำใจยอมรับความเป็นจริงได้อย่างรวดเร็ว การที่สามารถบ่มเพาะพลังจนบรรลุระดับสูงสุดของโลกบรรพกาลได้เป็นข้อพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของพวกเขาแล้ว เพราะงั้นต่อให้ไปยังดินแดนแห่งเซียนพวกเขาก็ไม่มีทางที่จะอ่อนแอไปกว่าจอมยุทธบางส่วน
เมื่อกลับมาที่สำนักย่อยที่แปด หลิงฮันได้ขอคำชี้แนะหลักการต่างๆเกี่ยวกับรูปแบบอาคมจากเซียนหมิงซินเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากหากพูดถึงความสามารถในด้านรูปแบบอาคมแล้วเซียนหมิงซินนั้นเหนือกว่าเซียนซิงฉา
เซียนหมิงซินรู้สึกชื่นชอบหลิงฮันเป็นอย่างมาก เขาอยากจะรับหลิงฮันเป็นศิษย์สืบทอดเดี๋ยวนี้เลยแต่ศักยะภาพของหลิงฮันสูงล้ำเกินไปจนน่าอัศจรรย์จนตัวเขาไม่มีคุณสมบัติพอจะรับอีกฝ่ายมาเป็นศิษย์
ยิ่งกว่านั้นปัญหาที่หลิงฮันเอ่ยถามกับเขานั้นได้ทำให้เขารู้แจ้งบางอย่างเช่นกัน ด้วยหลักการที่หลิงฮันถามเขานี้หากนำไปประยุกต์บางทีเขาอาจจะสามารถบรรลุเป็นเซียนระดับกลางได้ในไม่กี่พันปี
เขารู้สึกชื่นชอบหลิงฮันยิ่งขึ้นไปอีกและเศร้าโศกเป็นอย่างมากที่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ศิษย์ของเขา
ฝ่ายที่ได้ประโยชน์กว่าคือหลิงฮัน ในด้านความพื้นฐานของรูปแบบอาคม ความเข้าใจของเซียนหมิงซินมีมากกว่าเขาหลายเท่า คำอธิบายของอีกฝ่ายทำให้เขาตระหนักรับรู้อะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หากบรรลุเป็นเซียนเมื่อไหร่เขาจะสามารถฝึกฝนรูปแบบอาคมเซียนให้สำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านพ้นไปหลายเดือน
……
ณ ดินแดนต้องห้ามแปดศิลา ตระกูลฮู
ในตอนนี้หลิงฮันก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฮูลั่วก็ลืมตาขึ้น ใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดและเจ็บปวด “เฟิงเอ๋อร์ตายแล้ว!”
“เจ้าหนูบัดซบนั่น!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร! จากการคำนวณของข้าเขาสมควรไม่มีหยดโลหิตราชาเซียนอยู่กับตัวแล้วแถมข้าก็ยังมอบหยดโลหิตของตัวเองให้เฟิงเอ๋อร์ไปด้วย เขาจะตายด้วยเงื้อมมือของเจ้าหนูนั่นได้อย่างไร?”
“แต่บ่วงอาฆาตไม่มีทางผิดพลาด!”
“โอวหยางไท่ซาน… ต้องเป็นจิ้งจอกเฒ่านั่นแน่ๆ!”
ฮูลั่วทุบโต๊ะ คลื่นพลังอันทรงอำนาจส่งผลให้ที่พักที่เขาอยู่พังทลายในพริบตา เหล่าคนรับใช้ยังไม่มีโอกาศได้แม้แต่ร้องโอดครวญก็กลายเป็นเศษซากไปพร้อมกับที่พัก
เขาพยายามควบคุมอารมณ์ได้ในที่สุด ไม่เช่นนั้นสิ่งที่จะพังทลายเพราะความโกรธของเขาคงไม่ใช่แค่ที่พักแต่เป็นทั่วทั้งดินแดนต้องห้ามแปดศิลา
“ท่านประมุข!”
“ท่านประมุข!”
“ท่านประมุข!”
เซียนหกคนปรากฏตัว พวกเขาต้องมองไปยังฮูลั่วด้วยความยำเกรง ถึงแม้ตระกูลฮูจะมีราชาเซียนอยู่สองคนแต่ก็มีเพียงฮูลั่วคนเดียวที่บรรลุเป็นราชาเซียนสูงสุด
.
ประมุขผู้นี้คือเสาค้ำจุนตระกูลฮู การที่ได้เห็นอีกฝ่ายโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ทำให้พวกเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“บ่วงอาฆาต!”
“ของฮูเฟิง!”
พวกเขาเข้าใจสาเหตุที่ฮูลั่วโกรธในทันที แม้แต่ใบหน้าของพวกเขาก็ยังเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง ฮูเฟิงนั้นเป็นรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ พวกเขาเชื่อว่าต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียนฮูเฟิงก็ยังถือว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะ ไม่มีใครคาดคิดจริงๆว่าเขาจะถูกสังหาร!
“โอวหยางไท่ซานเป็นคนโน้มน้าวให้พวกเราล้มเลิกความบาดหมางที่มีต่อเจ้าหนูบัดซบนั่นและตอนนี้เฟิงเอ๋อร์ก็ได้ตกตายด้วยเงื้อมมือของเจ้าหนูบัดซบที่ว่า ข้าเชื่อว่าคนที่ต้อนเฟิงเอ๋อร์ให้จนมุมต้องเป็นโอวหยางไท่ซานไม่ผิดแน่และปล่อยโอกาสให้เจ้าหนูนั่นเป็นคนลงมือสังหาร” ฮูลั่วกล่าวด้วยจิตสังหารอันท่วมท้น