แม้หลิงฮันจะค่อนข้างเชื่อถือสถานะของอีกฝ่ายแต่เขาก็ไม่กล้าประมาทแม้อแต่น้อย
ตราบใดที่นางแสดงท่าทีคุกคามแม้แต่นิดเดียวเขาจะพาจักรพรรดินีและจักรพรรดิพิรุณเข้าสู่หอคอยทมิฬทันที
“ฮูหนิวสั่งให้เจ้ามา? ด้วยเรื่องอันใด?” หลิงฮันเอ่ยถาม
“เจ้าต้องหยุดการกระทำของเจ้าเมื่อครู่” สตรีผู้นั้นกล่าวขึงขัง
“หมายถึงผสานสองดินแดน?” หลิงฮันประหลาดใจ “ทำไมกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้ถึงเหตุผล แต่ที่ประมุขหญิงน้อยบอกข้ามาคือ หากดินแดนทั้งสองผสานรวมกันจะเป็นการดึงดูดความสนใจของเหล่าตัวตนที่ทรงพลังจำนวนมากที่แม้แต่ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็ไม่อาจปกป้องเจ้าได้” สตรีผู้นั้นกล่าว แววตาของนางแสดงออกถึงความไม่พอใจ
จากน้ำเสียงที่ประมุขหญิงน้อยออกคำสั่งกับนาง ดูเหมือนไม่ว่าบุรุษผู้จะสร้างปัญหาอะไร ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็จะต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา
ประมุขหญิงน้อยเป็นตัวตนที่สูงส่งขนาดไหน? เหตุใดนางถึงต้องนำชีวิตตนเองมาเสี่ยงกับบุรุษชั้นต่ำเช่นนี้ด้วย?
เพราะงั้นถึงไม่แปลกที่นางจะไม่ชอบหลิงฮัน
หลิงฮันไม่สนใจท่าทางของสตรีผู้นี้และขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุใดการผสานดินแดนทั้งสองถึงเป็นการดึงดูดความสนใจของตนที่ทรงพลังในดินแดนแห่งเซียน?
จากข้อมูลที่มีเขาก็ยังไม่รู้ว่าทำไมโลกบรรพกาลถึงถูกแยกออกเป็นสองดินแดน เป็นโลกบรรพกาลแยกออกจากกันถึงได้เกิดมหาโศกนาฏกรรมขึ้นในดินแดนแห่งเซียน หรือเพราะเกิดมหาโศกนาฏกรรมขึ้นในดินแดนแห่งเซียน โลกบรรพกาลถึงแยกออกจากกันกันแน่
แต่เหตุใดตัวตนที่ทรงพลังของดินแดนแห่งเซียนถึงต้องขัดขวางการผสานโลกบรรพให้กลับเป็นหนึ่งเดียวด้วย?
ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์คือขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ขนาดฮูหนิวยังต้องส่งใครบางคนมาแจ้งเรื่องนี้แก่เขานั้นหมายความอะไร? ความแข็งแกร่งของตัวตนทรงพลังที่พูดถึงจะต้องบรรลุระดับราชานิรันดร์เช่นกัน ซึ่งแม้จะเป็นตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็ไม่อาจกำราบได้
ก่อนมหาโศกนาฏกรรมนั้น เป็นไปได้ว่าจะเกิดสงครามครามระหว่างราชานิรันดร์ขึ้นก่อน
ในหมู่ราชานิรันดร์นั้น คงมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกโลกบรรพกาลกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ผลลัพธ์จากการที่ความเห็นไม่ตรงกันคือสงครามที่นำไปสู่มหาโศกนาฏกรรมในดินแดนแห่งเซียน
โดยสุดท้ายแล้วฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็คือเหล่าราชานิรันดร์ที่ไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกโลกบรรพกาล
แม้นี่จะเป็นเพียงการคาดเดาของหลิงฮันแต่เขามีความรู้สึกว่ามีความเป็นได้สูงมากที่ความจริงจะเป็นเช่นนี้จริงๆ
ทำไมพวกเขาถึงต้องสนใจโลกบรรพกาลขนาดนั้นทั้งๆที่สวรรค์และปฐพีของที่นี่แม้แต่จะบรรลุเป็นระดับโลกียนิพพานก็ไม่อาจทำได้
หลิงฮันรู้สึกว่ายิ่งเขารู้สึกเข้าถึงความจริง ก็มีเรื่องลึกลับผุดขึ้นมาให้สงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก
“ประมุขหญิงน้อยสั่งให้ข้าแอบคุ้มครองเจ้าจากในเงามืดอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าปรากฏตัวออกมาเพื่อหยุดยั้งเจ้า หากเจ้ายังยืนกรานที่จะผสานดินแดนทั้งสองต่อ ครั้งหน้าอาจจะไม่ใช่ข้าที่มาหาเจ้าเป็นคนแรก” สตรีผู้นั้นกล่าวต่อ แม้นางจะไม่ชอบหลิงฮันแต่จะให้ขัดคำสั่งของประมุขหญิงน้อยก็ไม่ได้
“การผสานดินแดนทั้งสองมีแต่จะเป็นการนำความตายมาสู่ตัวเจ้าเอง!” สตรีผู้นั้นกล่าว มีสิ่งหนึ่งที่นางไม่บอกออกไปคือหากมีตัวตนระดับราชานิรันดร์ลงมือกับหลิงฮันจริง ฮูหนิวคงนำกองกำลังของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์บุกโจมตี
เมื่อทำเช่นนั้นตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็จะกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อขุมอำนาจที่ทรงพลังมากมายในดินแดนแห่งเซียน ต่อให้ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์จะเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งเพียงใดก็เป็นเป็นได้ว่าจะล่มสลายในชั่วข้ามคืน
เพียงแต่ว่าประมุขหญิงน้อยไม่ให้นางกล่าวเรื่องนี้ออกไป
หลิงฮันพยักหน้า เขาสามารถเดาได้ว่าหากมีตัวตนจากดินแดนแห่งเซียนลงมือกับเขา ฮูหนิวจะต้องทำการหยุดยั้งตัวตนที่ว่าเอาไว้แน่ จากสิ่งที่เขารู้ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์นั้นมีศัตรูที่ทรงพลังอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาจึงไม่อาจนำฮูหนิวมายุ่งเกี่ยวกับปัญหาของตัวเขาเอง
“เข้าใจแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถึงแม้การผสานดินแดนทั้งสองจะทำให้เขาได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์และปฐพี แต่เขาก็ไม่อยากทำให้ฮูหนิวลำบากเพื่อเขา
สตรีผู้นั้นมองหลิงฮันด้วยสายตาขึงขังก่อนจะยื่นมือออกมาด้านหน้าและเปิดช่องว่างมิติ พริบตาที่นางเดินเข้าช่องว่างมิติไปร่างของนางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
สตรีผู้นี้ต้องเป็นมีพลังบ่มเพาะระดับโลกียนิพพานเป็นอย่างน้อย แต่จะระดับไหนนั้นหลิงฮันไม่สามารถคาดเดาได้
พวกหลิงฮันสามคนมองหน้ากัน พวกเขาไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าการผสานรวมสองดินแดนจะเป็นเรื่องที่อันตรายขนาดนี้
“ดินแดนแห่งเซียนไม่ยอมให้มีการผสานรวมโลกบรรพกาล!”
“ข้าก็เคยสงสัยมาก่อนว่าขุมอำนาจของดินแดนแห่งเซียนสามารถส่งจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งออกมาที่นี่ได้ แต่ทำไมถึงไม่เคยมีใครผสานดินแดนทั้งสองมาก่อน ข้าเคยคิดว่าที่พวกเขาไม่ทำเป็นเพราะเหยียดหยามโลกบรรพกาล แต่แท้จริงแล้วอาจจะเป็นเพราะนั่นคือคำสั่งของราชานิรันดร์ที่ห้ามไม่ให้พวกเขาทำ”
“ตัวตนที่ทรงพลังกำลังหวาดกลัวอะไรในโลกบรรพกาลอยู่รึเปล่า?”
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คงไม่ได้คำตอบ หลิงฮันพยักหน้าก่อนจะกล่าว “ไม่ว่าจะอย่างไร การผสานรวมสองดินแดนก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”
“กลับไปยังดาวมู่ภูกันก่อน หวังว่าราชาเซียนเหล่านั้นจะยังไม่หนีหายไปไหน ข้าจะได้คิดบัญชีแค้น!”
ทั้งสามคนเคลื่อนที่ด้วยคลื่นแสงแห่งเต๋ามุ่งหน้าสู่ดาวมู่ถู แม้หลิงฮันจะสามารถใช้แสงอัสนีเร่งความเร็วได้ แต่ทักษะนี้ก็เหมาะที่จะใช้ในการต่อสู้เท่านั้นเนื่องจากทักษะไม่อาจคงสภาพเอาไว้ได้นาน
พวกเขาถึงดาวมู่ถูในอีกสิบวันต่อมา
เมื่อมาถึงเหล่าเซียนมากมายก็ปรากฏตัวต้อนรับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นพวกเซียนซิงฉาหรือราชาเซียนพวกเขาต่างไม่ได้รับข่าวสารใดๆเกี่ยวกับหลิงฮันมาสักพักแล้ว
“สหายหลิง ไม่กี่ปีนี้เจ้าไปอยู่ไหนมา?” ราชาเซียนแต่ละคนเอ่ยถาม
หลิงฮันกวาดสายตามองก่อนจะแสยะยิ้ม ใครบางคนในนี้ช่างแสดงละครได้เยี่ยมนัก เพิ่งจะจะลอบสังหารเมื่อไม่นานมานี้แท้ๆแต่กลับเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เหอๆ คิดว่าจะหลอกเขาได้ง่ายๆ?
“สองดินแดนไม่อาจรวมเป็นหนึ่งได้” เขากล่าวออกไปเช่นนั้นโดยไม่อธิบายอะไร “ตอนนี้เหลืออยู่เพียงวิธีเดียวคือหลังจากข้าบรรลุเป็นเซียนระดับสูงข้าจะเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนของตนเองและพาคนจำนวนหนึ่งไปกับข้าด้วย”
เหล่าราชาเซียนตกอยู่ในความอลหม่าน ดินแดนทั้งสองไม่สามารถผสานกันได้?
แม้พวกเขาจะผิดหวังแต่ก็ไม่ได้มากอะไร พวกเขาก็ยังสามารถเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนผ่านหลิงฮันได้อยู่ดี เพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้คิดอยากจะช่วยเหลือจอมยุทธคนอื่นในโลกบรรพกาลอยู่แล้ว แค่คนของพวกเขาสามารถเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ก็เพียงพอ
หลงฮันมองไปยังเหล่าราชาเซียนและกล่าว “เพียงแต่ว่า ตัวข้าก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรที่ต้องพาพวกเจ้าไปด้วย หากใครต้องการเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนก็ต้องซื้อบัตรผ่าน หากข้าพึงพอใจข้าจะพาพวกเจ้าไปด้วย”
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา ราชาเซียนหลายคนก็กลายเป็นเกรี้ยวกราดทันที
พวกเขาเป็นตัวตนระดับใด?
ที่พวกเขายอมพูดกับหลิงฮันราวกับเป็นมิตรสหายนั้นถือว่าพวกเขาไว้หน้าหลิงฮันขนาดไหนแล้ว? นี่ยังจะให้พวกเขาซื้อบัตรผ่านอีก?
แค่ยอมให้หน่อยก็กล้าทำตัวเหิมเกริมขนาดนี้เลย!