หากราชาไค่หยุนไม่ได้ทรยศราชันวารีสวรรค์ตั้งแต่แรก ป่านนี้เขาคงได้เข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนและอาจจะบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานไปแล้ว
แต่ตอนนี้ล่ะ?
นอกจากเขาจะไม่ได้รับทักษะบ่มเพาะราชานิรันดร์แล้ว เขายังไม่สามารถมีอายุขัยอันเป็นนิรันดร์ได้อีก
หลิงฮันส่ายหัว เขาตรวจสอบดินแดนต้องห้ามและพบเจอแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์กับสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำจำนวนหนึ่ง แน่นอนว่าเขายึดพวกมันเป็นของตนเองอย่างไม่ลังเลก่อนจะนั่งลงเพื่อพักหายใจ การไล่ล่าเป็นเวลาสี่ปีทำให้ร่างกายของเขาเหนื่อยล้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ต่อให้จะเป็นเซียน หากต่อสู้ติดต่อกันเป็นเวลากว่าสี่ปีก็จำเป็นต้องพักผ่อนฟื้นสภาพร่างกาย
หืม?
หลิงฮันพบว่าแม้ร่างกายของเขาจะฟื้นฟูกลับสู่สภาพสมบูรณ์แล้วแต่ปราณก่อเกิดกลับเอ่อล้นไหลเข้ามาในร่างของเขาไม่หยุด ดวงดาวในวงโคจรวิถีดาราจักรเองก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วที่น่าสะพรึง
หลิงฮันรู้สึกดีใจมาก ไม่คาดคิดว่าการต่อสู้อันดุเดือดที่ยาวนานถึงสี่ปีจะทำให้พลังของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ครึ่งปีต่อมาในที่สุดการพัฒนาของเขาก็หยุดลง จำนวนดวงดาวในวงโคจรวิถีดาราจักรในตอนนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นห้าสิบล้านดวง!
ห้าสิบล้าน!
จำนวนดวงดาวของเซียนระดับกลางขั้นสูงสุดคือหนึ่งร้อยล้านดวง นั่นแสดงว่าเขาบ่มเพาะพลังมาได้ครึ่งทางและบรรลุเป็นเซียนระดับกลางขั้นกลางเรียบร้อยแล้ว แค่เขาควบแน่นดวงดาวได้อีกหนึ่งดวงพลังบ่มเพาะของเขาก็จะยกระดับเป็นเซียนระดับกลางขั้นปลาย
ยอดเยี่ยม!
ทีนี้เขาควรจะไล่ล่าตามหาราชาเซียนคนอื่นๆดีรึเปล่า?
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัว หากไม่ใช่เพราะราชาไค่หยุนเป็นเป้าหมายของเขา เขาคงไม่ตามไล่ล่าสังหารอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ สำหรับราชาเซียนที่เป็นศัตรูคนอื่นๆ เขาค่อยสะสางเมื่อบรรลุเป็นเซียนระดับสูงก็ไม่สาย
เขาลุกขึ้นยืนและมุ่งหน้ากลับดาวมู่ถู แม้สหายส่วนใหญ่จะอยู่ในหอคอยทมิฬแล้ว แต่จักรพรรดินีและจักรพรรดิพิรุณก็ยังอยู่ที่ดาวดวงนั้น
การเดินทางกลับต้องใช้เวลาราวๆสี่ปี ในระหว่างทางหลิงฮันไม่ลืมที่จะกินเม็ดยาเพื่อบ่มเพาะพลัง
เพียงแต่ว่าเม็ดยาที่เขากินนั้นไม่ใช่เม็ดยาระดับเซียน ประสิทธิภาพของมันจึงมีจำกัด
เขาเคลื่อนที่ผ่านห้วงอากาศอย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลาสี่เดือนและกลับมาถึงดาวมู่ถูในที่สุด
แปดปีผ่านไปหลังจากสงครามของเหล่าเซียน ราชาเซียนที่เป็นศัตรูทุกคนออกจากดาวมู่ถูไปแล้วเนื่องจากหวาดกลัวการแก้แค้นของหลิงฮัน ตราบใดที่หลิงฮันก้าวเข้าสู่เซียนระดับสูงได้ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกต่อไป
เกรงว่าดินแดนต้องห้ามเหล่านั้นคงจะย้ายแหล่งกบดานหนีไปแล้ว
หลิงฮันไม่เร่งรีบไปตามหาพวกเขาเพื่อแก้แค้น การต่อสู้กับราชาไค่หยุนทำให้เขารู้ตัวว่าด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้การสังหารราชาเซียนสักคนเป็นเรื่องที่ยากเย็นขนาดไหน เขายังต้องบ่มเพาะเพราะและขัดเกลาพลังต่อสู้ของตนเองให้สูงขึ้นเสียก่อน เมื่อถึงเวลาเขาจะสามารถกำราบราชาเซียนเหล่านั้นได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือ
เขาประหลาดใจเล็กน้อยทันทีที่กลับมาถึงดาวมู่ถู เหตุใดถึงไม่มีใครปรากฏตัวต้อนรับเขาเลย?
หลังจากใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบทั่วดวงดาว เขาได้พบว่า ณ เวลานี้บนดวงดาวไม่มีตัวตนระดับเซียนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
เหล่าราชาเซียนฝ่ายศัตรูเอาชนะราชาเซียนฝ่ายสนับสนุนเขาได้ จักพรรดินีกับพวกเซียนซิงฉาจึงต้องหลบหนี?
หลิงฮันเรียกศิษย์คนหนึ่งมาไต่ถาม ที่แท้ไม่กี่ปีก่อนได้มีโบราณสถานปรากฏขึ้นมานั่นเอง จักรพรรดินีและพวกเซียนหวู่เซียงรู้สึกสนใจจึงได้ออกเดินจากไปสำรวจและยังไม่กลับมา
โบราณสถานที่ว่านี้ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีใครเลยที่มีข้อมูลเกี่ยวกับมัน
หลิงฮันให้ทุกคนในหอคอยทมิฬออกมา ถึงแม้การบ่มเพาะพลังใต้ต้นสังสารวัฏจะได้ประสิทธิภาพที่สุด แต่พวกเขาก็ไม่ควรเอาแต่บ่มเพาะพลังที่นั่นตลอดเวลา
เขาตัดสินใจไปดูโบราณสถานที่ว่า จักพรรรดินีและคนอื่นๆไปที่นั่นตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้วแต่ก็ยังไม่กลับมา บางทีอาจจะมีอันตราบอะไรเกิดขึ้นกับพวกนางก็เป็นได้ซึ่งเขาย่อมไม่อาจนิ่งเฉย
เขา สตรีนกอมตะและเซียนหวู่เซียงออกเดินทาง คนอื่นๆที่ยังไม่บรรลุระดับเซียนไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น
โบราณสถานอยู่ไม่ไกลจากดาวมู่ถู มันอยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งเขตดวงดาวเท่านั้น หากเดินทางด้วยเรือเหาะเหินดาราอาจต้องใช้เวลาราวๆหนึ่งถึงสองเดือน แต่หากเป็นเซียนเพียงแค่ครึ่งวันก็ถึง
ทั้งสามคนมาถึงพิกัดดวงดาวอันเป็นจุดหมายอย่างรวดเร็ว พวกเขาพบเห็นภูเขาที่ปรากฏออกมาจากห้วงอวกาศอันว่างเปล่ากำลังลอยไปมา เพียงแต่ว่าทั่วทั้งภูเขานั้นได้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกลึกลับ ซึ่งส่งผลให้ภูเขาดูเลือนรางราวกับไม่ได้อยู่ในโลกนี้
เนื่องจากโบราณสถานเช่นนี้คือโลกจำลองจึงไม่สามารถผ่านเข้าไปตรงๆได้แต่ต้องเข้าผ่านทางเข้าพิเศษ
ไม่จำเป็นต้องมองหาทางเข้าให้เสียเวลาเนื่องจากคนที่มาที่นี่ไม่ได้มีแค่พวกเขาสามคน ที่บริเวณด้านหน้ามีเรือเหาะเหินดาราจำนวนมากจอดอยู่ราวกับเป็นป้อมปราการดวงดาว
ทั้งสามคนปกปิดออร่าของตนเอง เนื่องจากออร่าของเซียนอาจจะทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่เข่าอ่อนยืนไม่ไหว หลิงฮันไม่ชอบให้คนอื่นคุกเข่าต่อหน้าตนเอง
“โอ้ ช่างเป็นสตรีที่งดงามนัก” ใครบางคนผิวปากแซวสตรีนกอมตะ
การปรากฏของโบราณสถานได้ดึงดูดขุมอำนาจมากมาย ไม่เพียงแค่ขุมอำนาจระดับเซียนแต่ขุมอำนาจระดับวารีนิรันดร์ก็เช่นกัน
ชายหนุ่มที่เอ่ยแซวสตรีนกอมตะคือจอมยุทธระดับสุริยันจันทราที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา
สตรีนกอมตะหันหน้าชำเลืองมอง ‘ปัง’ คลื่นพลังอันรุนแรงจากสายตาของนางกระแทกใส่ร่างของชายหนุ่มลอยกระเด็นพร้อมกับกระอักโลหิตติดต่อกันสิบครั้ง ใบหน้าของอีกฝ่ายกลายเป็นซีดเผือด ทั่วร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เขาไม่กล้าปากดีอีกต่อไป เมื่อทรงตัวได้ก็รีบหันหลังเผ่นหนีอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันไม่เก็บเรื่องของอีกฝ่ายมาใส่ใจ สายตาของเขาจดจ้องไปยังโบราณสถานเบื้องหน้า ภายในโบราณสถานนี้มีพื้นที่กว้างขวางจนแม้แต่เซียนก็ไม่สามารถกลับออกมาได้แม้เวลาจะผ่านไปห้าปี? หรือเหล่าเซียนเกิดสงครามแย่งชิงสมบัติกันและยังหาผู้ชนะไม่ได้?
“ไปกัน!” สตรีนกอมตะดึงร่างหลิงฮัน
หลิงฮันพยักหน้า ทั้งภรรยาและพี่ชายของเขาอยู่ด้านใน หากไม่เข้าไปดูให้รู้แน่เขาคงไม่อาจทำใจให้สงบ
“หืม นั่นศิษย์พี่หลิงไม่ใช่รึ!” น้ำเสียงอันตกตะลึงดังขึ้น ร่างของหลงเซียงเยว่ทะยานเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลิงฮันยิ้มและเอ่ยตอบ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“ข้าออกจากตระกูลมาผ่อนคลายกับอาสาวของข้า แต่พอได้ยินว่ามีโบราณสถานปรากฏออกมา พวกเขาเลยลองมาดูเสียหน่อย” นางกล่าวพร้อมกับรีบหันหลังโบกมือไปยังตำแหน่งที่หลงอวี่ซานยืนอยู่
ดูเหมือนว่าหลงอวี่ซานจะไม่ต้องการพบหน้าหลิงฮัน แต่เพราะถูกหลงเซียงเยว่เรียก นางจึงต้องจำใจเดินเข้ามา
“หืม!” ทันทีที่นางเห็นหลิงฮัน สีหน้าของนางก็เผยถึงความตกตะลึงขั้นสุด “เจ้าบรรลุระดับเซียนแล้ว!” นางอุทานเสียงเบา เกรงว่านอกจากนางแล้วคงไม่มีใครอื่นได้ยิน
เหลือเชื่อ เมื่อราวๆสิบปีก่อนหลิงฮันยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์อยู่เลยแท้ๆ แต่ทว่าตอนนี้กลับบรรลุเป็นเซียนแล้ว?