แม้ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์จะอยู่ห่างจากระดับสร้างสรรพสิ่งเพียงก้าวเดียว แต่ในฐานะจอมยุทธที่ทะลวงผ่านมาก่อน หลงอวี่ซานย่อมรู้ว่ามันเป็นก้าวเดียวที่ยากลำบากขนาดไหน
แม้จะเป็นตัวนางที่มีพรสวรรค์อันล้ำเลิศและสายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่ามังกรก็ยังต้องใช้เวลาสองล้านปีในการทะลวงผ่านจากระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดเป็นระดับสร้างสรรพสิ่ง
แต่หลิงฮันกลับใช้เวลาสิบกว่าปีเท่านั้น!
นางไม่สามารถมองเห็นระดับพลังหรืออายุของหลิงฮันได้อีกต่อ ที่นางรู้มีเพียงแค่อีกฝ่ายยังเยาว์วัยเป็นอย่างมากเนื่องจากโลหิตภายในร่างยังคงเดือดพล่านราวกับเพิ่งออกมาจากตำหลอม
แต่บางทีการที่ไม่รู้ก็อาจจะเป็นเรื่องดีเหมือนกัน หากนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับอีกฝ่ายแล้วมีแต่จะทำให้หมดกำลังใจเสียเปล่าๆ ต่อหน้าหลิงฮัน ใครบางที่กล้าโอ้อวดว่าตนเองเป็นอัจฉริยะ?
ดวงตาที่เหม่อลอยของนางบังเอิญไปตกลงที่ร่างของสตรีนกอมตะและเซียนหวู่เซียง ใบหน้าของนางเผยถึงความตกตะลึงออกมาอีกครั้ง
เซียนอีกสองคน!
สตรีนกอมตะนั้นเป็นเซียนที่ดูเยาว์วัยมากอีกคน แต่ในทางกลับกัน ทางด้านของเซียนหวู่เซียงนั้นถึงแม้โลหิตของเขาจะเดือดพล่านดูเยาว์วัยแต่ดวงวิญญาณนั้นเต็มไปด้วยความผันผวนแห่งวัฏจักร นางคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นร่างเกิดใหม่อายุของร่างกายและดวงวิญญาณจึงไม่เท่ากัน
“สหายทั้งสาม!” หลงอวี่ซานไม่กล้าทำตัวสูงส่งและโค้งตัวให้กับทั้งสามคนเล็กน้อย
แม้นางจะเคยเห็นเหตุการณ์ที่หลิงฮันสังหารเซียนมาก่อน แต่ในความคิดของนางตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็ยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่ไม่ได้มีสถานะสูงส่งเทียบเท่าเซียนจริงๆ
เซียนหวู่เซียงและสตรีนกอมตะโค้งตัวตอบรับพอเป็นพิธี ในเมื่อท่าทางของหลิงฮันดูเหมือนจะให้เกียรติอีกฝ่าย พวกเขาเองก็ต้องให้เกียรติไปตามๆกัน
หลงเซียงเยว่ชะงัก เหตุใดอาสาวของนางถึงได้เรียกทั้งสามคนว่าสหาย?
หรือว่า!
นางไม่อยากจะเชื่อความคิดของตนเองจึงได้เผลออุทานออกไป “หลิงฮัน เจ้าทะลวงผ่านเป็นเซียนแล้ว?”
พรวด!
คนอื่นๆรอบด้านที่ได้ยินคำอุทานของนางระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ดูเหมือนสตรีผู้นี้จะไม่รู้จักโลกอันกว้างใหญ่เสียเลย นางต้องมาจากเขตดวงดาวที่อยู่ห่างไกลสุดขอบจักรวาลเป็นแน่ถึงได้คิดว่าชายหนุ่มที่อายุน้อยเช่นนั้นเป็นเซียน!
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีตัวตนระดับเซียนอยู่กี่คนกันเชียว? ยิ่งกว่านั้นเซียนคนไหนบ้างที่จะไม่มีผมและคิ้วที่ขาวโพลน? หากไม่ใช่จอมยุทธที่บ่มเพาะพลังจนใกล้สิ้นอายุขัยแล้วจะบรรลุเป็นเซียนได้อย่างไร?
“อืม” หลิงฮันพยักหน้าตอบหลงเซียงเยว่ ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ทั่วทั้งโลกบรรพกาลเขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใคร
“ยอดเลย!” หลงเซียงเยว่ปรบมือ นางรู้สึกภาคภูมิใจที่บุรุษที่นางมีใจให้เป็นคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้
“แม่นาง อย่าได้โดนหลอก!” ใครบางคนกล่าวกับนาง “มีพวกหลอกลวงมากมายมักอ้างว่าตนเองเป็นปรมาจารย์หรือไม่ก็ทายาทของขุมอำนาจทรงพลัง แท้จริงแล้วคนประเภทนี้เป็นเพียงแค่จอมยุทธทั่วไปที่มุ่งหวังจะหลอกเอาสมบัติหรือไม่ก็หวังอยากทำเรื่องกามอารมณ์”
หลงเซียงเยว่เกรี้ยวกราดทันที จะบอกว่าหลิงฮันหวังจะหลอกฟันนางงั้นรึ? ฮึ่ม ที่จริงนางก็ต้องการเช่นนั้นเหมือนกันแต่หลิงฮันไม่ได้ต้องการนางแม้แต่น้อย
แต่นางก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล อีกฝ่ายต้องการเตือนนางด้วยความหวังดีเพราะงั้นนางจึงไม่ตอบโต้อะไรและเมินเฉยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“หลิงฮัน เจ้าสุดยอดจริงๆ!” นางหันกลับมามองหลิงฮันด้วยแววตาเป็นประกาย
“ช่างเป็นสตรีที่โง่เขลารัก!” คนที่เอ่ยเตือนนางก่อนหน้านี้ส่ายหัว เหตุใดสตรีงดงามผู้นี้ถึงได้ถูกหลอกง่ายนัก
“โอ้ ถ้าเช่นนั้นข้าขอคำชี้แนะจากเซียนหน่อยจะได้รึไม่!” รุ่นเยาว์คนถึงเดินกร่างเข้ามาด้วยใบหน้าหยิ่งยโส เขากวาดสายตามองสตรีนกอมตะ หลงเซียงเยว่และหลงอวี่ซาน
จากสายตาของเขาก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่ากำลังคิดชั่วร้ายอะไรอยู่
“นั่นมันนายน้อยเจ็ดของตระกูลหยาง?”
“ไม่ผิดแน่ เขาคือหยางหมิงที่กล่าวกันว่าเป็นอัจฉริยะที่สามารถบรรลุระดับดาราขั้นสูงสุดได้เมื่อสามพันปีก่อน เขาเคยมีโอกาสจะได้เข้าร่วมสำนักละอองดาราแต่ว่าเพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันครั้งใหญ่ขึ้นที่ตระกูลหยางเขาจึงพลาดโอกาสนั้นไป ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยพรสวรรค์ของหยางหมิงเขาจะผ่านการคัดเลือกและกลายเป็นศิษย์ของสำนักละอองดาราได้อย่างแน่นอน”
“ว่าไงนะ หากพูดถึงสำนักละอองดาราแล้ว ไม่ใช่ว่าใครที่จะเข้าร่วมเป็นศิษย์ได้ล้วนแต่ต้องเป็นอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติกลายเป็นเซียนหรอกรึ?”
“ถูกแล้ว ศิษย์ทุกคนของสำนักละอองดารา ไม่ว่าใครต่างก็มีศักยะภาพพอจะบรรลุเป็นเซียน”
ในเขตดวงดาวนับร้อยโดยรอบมีเพียงอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าร่วมเป็นศิษย์ของสำนักละอองดารา ศิษย์เหล่านั้นต่อให้บรรลุเป็นเซียนไม่สำเร็จแต่ก็ต้องกลายเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ได้อย่างไร้ข้อกังขา
“หยางหมิง!” สตรีจำนวนหนึ่งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
หยางหมิงยืนนิ่งแหงนหน้าชี้ฟ้าอย่างองอาจ
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้เขาไม่สนใจที่จะต่อสู้กับจอมยุทธรุ่นเยาว์อีกต่อไป เขาหันไปกล่าวกับหลงอวี่ซาน“จะไปด้วยกันไหม?”
“แน่นอน!” หลงเซียงเยว่รีบตอบตกลงอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าหลงอวี่ซานจะปฏิเสธ
หลงอวี่ซานถอนหายใจ นางรู้ว่าหลานสาวของนางกำลังมีความรัก แต่ทางด้านหลิงฮันนั้นดูเหมือนจะไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย
นางคงต้องหาโอกาสพูดคุยเรื่องนี้กับหลงเซียงเยว่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป
“ไปกันเถอะ”
พวกเขาเตรียมจะก้าวเดินเข้าสู่โบราณสถาน
“เจ้า!” หยางหมิงเกรี้ยวกราดและพุ่งทะยานขึ้นหน้าหวังจะคว้าไหล่หลิงฮัน “ในเมื่อเจ้าเป็นเซียน งั้นก็มาประลองแลกเปลี่ยนกัน”
ครืนนน!
หลิงฮันปลดปล่อยเศษเสี้ยวออร่าเซียนออกมา ‘ตุบ’ ร่างของหยางหมิงทรุดลงกับพื้นทันที เหงื่อของเขาไหลท่วมหน้าปากโดยรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังอยู่ต่อหน้าประตูแห่งความตาย
“ซะ… ซะ…. เซียน!” เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ ออร่าของอีกฝ่ายคือเซียนไม่ผิดแน่เนื่องจากตัวเขาที่บรรลุระดับดาราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดแล้วนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ออร่าของตัวตนระดับวารีนิรันดร์จะสร้างความหวาดกลัวให้เขาได้เพียงนี้
พรวด!
ทุกคนที่อยู่รอบข้างสำลักออกมา ดวงตาของพวกเขาเปิดกว้างจนแทบถลน
เซียน?
เป็นไปได้อย่างไรที่เซียนจะเยาว์วัยเช่นนี้!
หยางหมิงรีบคุกเข่าคารวะหลิงฮัน เมื่อครู่ที่เขาคิดชั่วร้ายกับเหล่าสตรีของเซียนนั้น แค่ยังไม่ถูกสังหารก็นับว่าอีกฝ่ายใจกว้างมากแล้ว!
“คารวะเซียน!” เขาทิ้งร่างของตนเองลงกับพื้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพอย่างถึงที่สุด
หลิงฮันไม่คิดจะลดตัวเองลงไปเสวนากับอีกฝ่ายและสะบัดมือด้วยอย่างไม่แยแส
หยางหมิงไม่กล้าลึกขึ้นยืน เขารู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าจะมีเซียนที่ใจกว้างขนาดนี้อยู่ด้วย
“หยุด!” ในขณะที่พวกหลิงฮันกำลังจะก้าวเดินอีกครั้ง จู่ๆน้ำเสียงอันมืดมนก็ดังขึ้นมา รุ่นเยาว์ที่ถูกสตรีนกอมตะขับไล่ไปก่อนหน้านี้ปรากฏตัวกลับมาอีกครั้งพร้อมกับมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกาย ชายวัยกลางคนมีท่าทีหยิ่งโยเป็นอย่างมากและปลดปล่อยออร่าระดับดาราออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
“กล้าดีอย่างไรมาลงมือกับคนของตระกูลถงของข้า พวกเจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตแล้วสินะ?” ชายวัยกลางคนคำราม