“น่าสนใจ” หลิงฮันกล่าวพร้อมกับปลดปล่อยสัมผัสสวรรค์นำร่างของเสือดาวทมิฬเข้าสู่หอคอยทมิฬ
หลงอวี่ซานตกตะลึง หลิงฮันกล้านำสัตว์อสูรระดับเซียนเข้าไปยังอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร? นี่เขาไม่กลัวว่าเสือดาวนั่นจะทำลายอุปกรณ์มิติของเขารึไง?
อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่อุปกรณ์เซียน นอกจากการที่สามารถนำสิ่งมีชีวิตใส่เข้าไปได้แล้วมันก็ไม่ได้ทนทานไปกว่าอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป
“ทำไมเสือดาวตัวนั้นถึงไม่มีสติปัญญา?” สตรีนกอมตะสงสัยเป็นอย่างมาก
หลิงฮันครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าว “มนุษย์เช่นพวกเราเป็นที่รู้จักกันไปฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูงสุด แต่หากพวกเราอยู่อาศัยและเติบโตในป่าที่ห่างไกลโลกตั้งแต่เกิด พวกเราก็อาจจะมีเพียงสัญชาตญาณเอาตัวรอดโดยไม่มีสติปัญญาเช่นกัน”
“แต่การที่มันบ่มเพาะพลังได้แถมยังบรรลุระดับพลังที่สูงขนาดนั้น เป็นไปได้อย่างไรมันจะไร้สติปัญญาอย่างสิ้นเชิง?” สตรีนกอมตะยอมรับเหตุผลเช่นนั้นไม่ได้
“บางทีสายเลือดของมันอาจจะทรงพลังมากพอที่แค่เติบโตก็สามารถบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่ง” หลิงฮันกล่าวแบบไม่คิดอะไร
สตรีนกอมตะและคนอื่นๆสูดหายใจลึกพร้อมกัน เพียงแค่เติบโตตามปกติก็กลายเป็นตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งได้แล้ว? หากพวกมันอยู่ร่วมกันเป็นฝูงใหญ่และมีจำนวนมาก ไม่ใช่ว่าพวกมันจะไร้เทียมทานที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลยหรอกรึ?
หลิงฮันส่ายหัว “เป็นไปได้ว่าด้วยสภาพแวดล้อมพิเศษของที่นี่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่น เสือดาวตัวนั้นถึงได้บรรลุระดับพลังสูงเช่นนั้นได้ และแน่นอนว่าสายเลือดของมันก็ต้องสูงมากพอเช่นกัน บรรพบุรุษของมันอาจจะเป็นสัตว์อสูรระดับโลกียนิพพานหรือไม่ก็ระดับแบ่งแยกวิญญาณ”
สตรีนกอมตะยอมรับได้กับคำอธิบายนี้
“ดินแดนแห่งเซียนน่าสะพรึงขนาดนั้นเลย?” หลงอวี่ซานเอ่ยถาม
มังกรแท้จริงสมควรเป็นสัตว์อสูรที่อยู่เหนือเผ่าพันธุ์นับล้าน แต่เมื่อครู่ทั้งๆที่ระดับพลังเท่ากันอำนาจมังกรของนางกลับไม่อาจทำอะไรเสือดาวทมิฬได้ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้อ่อนแอกว่านางแต่อย่างใด
หลิงฮันและคนอื่นๆส่ายหัว พวกเขาไม่เคยเห็นดินแดนแห่งเซียนมาก่อน สิ่งที่พวกเขามีเพียงที่นั่นเต็มไปด้วยตัวตนที่ทรงพลังมากมาย ในดินแดนแห่งเซียนจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งไม่ต่างอะไรจากมดแมลงที่อ่อนแอ
เปรียบแล้วก็เหมือนกับจอมยุทธระดับทลายมิติที่มาจากโลกใบเล็ก
“ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีสัตว์อสูรอย่างเสือดาวทมิฬตัวเมื่อครู่มากน้อยเพียงใด” สตรีนกอมตะกล่าว นางจ้องมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ถ้ามีสัตว์อสูรระดับราชาเซียนมากมายอยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นจักรพรรดินีหรือจักรพรรดิพิรุณก็คงทำได้เพียงหลบหนี บางทีการที่ทั้งสองยังไม่กลับออกมาอาจจะเป็นไปว่าทั้งสองกำลังตามหาวาสนาที่อยู่ในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้หรือไม่ก็พบเจออันตรายที่ร้ายแรง
หลิงฮันพยักหน้า เขาอยากจะรีบตามหาตำแหน่งของจักรพรรดินีให้เร็วที่สุดเหมือนกัน เพียงแต่ว่าพลังลึกลับของสวรรค์และปฐพีภายในนี้ทำให้เขาไม่สามารถใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบได้
พวกเขาปีนขึ้นเขาต่อไปแต่ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ ราวกับว่าสัตว์อสูรตัวอื่นที่อยู่ระแวงนี้ได้ถูกเสือดาวทมิฬสังหารไปหมดแล้ว
โลกภายในโบราณสถานแห่งนี้มีกลางวันกลางคืนเช่นกัน เพียงแต่ว่าบนท้องฟ้าไม่ใช่แสงพระอาทิตย์หรือแสงจันทร์ สีของท้องฟ้าจะเปลี่ยนไปมาระหว่างสีทองและสีเงินซึ่งไม่อาจเดาได้ว่าสีไหนคือกลางวันหรือกลางคืน
บนท้องฟ้าไม่ปรากฏดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หรือดวงดาวแม้แต่ดวงเดียว
สิ่งที่เหลือเชื่อว่าคือทั้งๆที่พวกเขาทุกคนเป็นเซียนแท้ๆ แต่พลังจากเดินทางไปได้เพียงหนึ่งวันพวกเขากลับรู้สึกเหนื่อยหอบ! อย่างที่รู้กันว่าหลิงฮันเคยไล่ตามราชาไค่หยุนเป็นเวลาถึงสี่ปีเขาก็ยังไม่สะทกสะท้านอะไร
กล่าวได้เพียงว่าสถานที่แห่งนี้ลึกลับอัศจรรยเป็นอย่างยิ่ง
หลงอวี่ซานนำหลงเซียงเยว่ออกมาจากอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ หลิงฮันนำวัตถุดิบต่างๆออกมาจากออกมาจากหอคอยทมิฬ ซึ่งหน้าที่นำพวกมันเป็นทำอาหารเป็นหน้าที่อย่างสตรีทั้งสามอย่างสตรีนกอมตะ หลงเซียงเยว่และหลงอวี่ซาน
หลังจากทานอาหารเสร็จสิ้น พวกหลิงฮันก็เข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อพักผ่อนซึ่งพวกหลงอวี่ซานก็ไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร เมื่อบรรลุเป็นเซียนแล้วการจะมีอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด
นางเองก็เข้าอุปกรณ์มิติไปกับหลงเซียงเยว่และเปิดหัวข้อสนทนาจริงจัง
“เซียงเยว่ บุรุษผู้นั้นไม่มีทางหันมาชอบเจ้า เลิกล้มความคิดเพ้อฝันได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะเป็นตัวเจ้าเองที่เจ็บปวด!” นางกล่าว
หลงเซียงเยว่กัดฟัน ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงจะกล่าวตอบ “ข้ารู้อยู้แล้ว เขามีสตรีที่งดงามมากอยู่ข้างกาย เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหันมาชอบคนอย่างข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของนางหลงอวี่ซานก็ไม่สบอารมณ์และกล่าวแย้ง “ต่อให้เขาไม่ชอบเจ้าก็ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ ด้วยความงดงามและพรสวรรค์ของเจ้า บุรุษคนใดในโลกที่เจ้าจะไม่คู่ควร?”
หลงเซียงเยว่ส่ายหัว “ท่านคงยังไม่เคยเห็นจักรพรรดินี นางเป็นสตรีที่งดงามและมีเสน่ห์เหนือใคร หากข้าเป็นบุรุษข้าจะต้องหลงใหลในตัวนางแน่นอน ไม่มีทางเลยที่ข้าจะเทียบกับนางได้”
หลงอวี่ซานตะลึง สตรีงดงามเช่นพวกนางนั้นอาจจะยอมรับว่าตนเองนั้นด้อยกว่าใครในด้านวิถีวรยุทธ แต่ในด้านของรูปลักษณ์นั้นสตรีเช่นพวกนางย่อมมีความมั่นใจว่าไม่มีทางด้อยกว่าใคร
เพราะงั้นเมื่อเห็นว่าหลงเซียงเยว่ชื่นชมจักรพรรดินีขนาดนั้นนางจึงตกตะลึงเป็นธรรมดา อีกฝ่ายต้องเป็นสตรีที่งดงามขนาดไหนกันถึงได้ทำให้สตรีหัวรั้นอย่างหลงเซียงเยว่ยอมรับได้ว่าด้อยกว่า?
“ท่านอาสาว ทำไมพวกเราไม่แต่งงานกับหลิงฮันด้วยกันไปเลยล่ะ?” หลงเซียงเยว่กล่าวคำพูดที่น่าเหลือเชื่อออกมา
หลงอวี่ซาน “…”
“พวกเราเพียงคนเดียวอาจจะสู้ไม่ได้ แต่ถ้าร่วมมือกันใครบ้างจะไม่เลือกบุปผางามคู่อย่างพวกเราอาหลาน?” หลงเซียงเยว่กล่าวอย่างหนักแน่น “นี่คือวิธีเดียวที่เราจะสู้กับเสน่ห์ของจักรพรรดินีได้”
“ไร้สาระ!” หลงอวี่ซานตำหนิทันที
“ท่านอาสาว อย่าได้บอกข้าว่าท่านไม่ได้รึสึกอะไรกับเขา!” หลงเซียงเยว่ไม่ยอมแพ้
“เด็กโง่ อย่าได้พูดเรื่องนี้อีก!” หลงอวี่ซานกล่าวตำหนิ ช่างไร้สาระนัก แค่คิดว่าจะต้องมีบุรุษคนเดียวกับหลานสาวของตนเองก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้ว
หลงเซียงเยว่ไม่กล่าวตอบ สีหน้าของนางยังคงแสดงออกถึงความดื้อรั้น นางคิดว่านี่เป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้หลิงฮันสนใจในตัวนาง
หนทางยังอีกยาวไกลไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ไม่ว่าอาสาวของนางจะมีนิสัยยึดหลักคุณธรรมขนาดไหน หากหว่านล้อมไปเรื่อยๆสักวันก็ต้องได้ผล!
หลงอวี่ซานไม่รู้ตัวว่าหลานสาวของนางขุดหลุมฝังนางเสียแล้ว ในหัวของนางมีเพียงความกังวลว่าหลานสาวของนางผู้นี้จะเจ็บปวดกับความรักที่ไม่สมหวังจนกลายเป็นบ้า
นางติดสินใจว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้หลงเซียงเยว่ถอนตัวออกจากหลิงฮันให้ได้
สตรีทั้งสองมองหน้ากันด้วยสีหน้าหนักแน่น