หลังการผ่านพักผ่อนหนึ่งคืนพลังของทุกคนก็ฟื้นฟูกลับมา พลังวิญญาณของที่นี่หนาแน่นถึงขนาดที่ว่าผ่านไปเพียงวันเดียวพลังบ่มเพาะของพวกเขาก็มีการพัฒนาขึ้นมาก
ออกเดินทางต่อ
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน… เนื่องจากไม่มีสัตว์อสูรปรากฏตัวเหมือนกับเสือดาวทมิฬ การเดินทางของพวกเขาจึงไม่ล่าช้า เมื่อถึงวันที่สี่ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มมองเห็นปลายยอดของภูเขา
ทันทีที่เห็นยอดเขาทุกคนก็เผยสีหน้าตกตะตึงออกมาอย่างปิดไม่มิด
ยอดเขาสูงที่ปรากฏตรงหน้านั้นแท้จริงแล้วเป็นแค่ส่วนหนึ่งของภูเขาที่ถูกตัดครึ่ง
จากรัศมีความกว้างของยอดเขาที่เห็นแล้วทำให้สามารถคาดเดาได้ว่าแต่เดิมภูเขานี้เคยสูงยิ่งกว่านี้อีก
น่าอัศจรรย์นัก!
จากระยะนี้พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดันอันรุนแรงจากยอดเขา มันคือแรงกดดันที่ทรงพลังยิ่งกว่าออร่าของเซียน พวกแค่สัมผัสแรงกดดันเล็กน้อยก็ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับร่างกายจะระเบิดออก
แน่นอนว่าหลงเซียงเยว่ต้านทานแรงกดดันไม่ไหวและถูกนำไปอยู่ในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ของหลงอวี่ซานทันที หลังจากกลุ่มของพวกเขาเดินขึ้นไปอีกสักพัก แม้กระทั่งสตรีนกอมตะ เซียนหวู่เซียง หรือหลงอวี่ซานก็เริ่มทนต่อแรงกดดันไม่ไหวแล้วเช่นกัน ทั้งสามคนหยุดเดินหน้าและจ้องมองหลิงฮันที่เดินต่อไปได้แค่คนเดียว
หลิงฮันเดินต่อไปได้อีกพันไมล์ความเร็วของเขาก็เริ่มช้าลง เมื่อมาถึงจุดนี้แม้แต่เขาก็ไม่กล้าผลีผลาม
แรงกดดันของภูเขาลูกนี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก การก้าวเท้ารุนแรงจะทำให้เกิดคลื่นลมที่กลายเป็นคมดาบวายุอันทรงพลัง ซึ่งแม้จะเป็นกายหยาบของหลิงฮันก็ยังได้รับบาดเจ็บ
แต่ด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ บาดแผลตามร่างของเขาได้ถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วและเดินหน้าขึ้นสู่ยอดเขาต่อ
ขอเสียของเขาคือความรู้สึกขี้สงสัยที่มีมากกว่าใคร เขาอยากจะขึ้นไปยังยอดเขาให้ได้เพื่อดูว่าที่นั่นมีอะไรอยู่กันแน่
หลังจากเดินหน้าต่อไปอีกพันกว่าไมล์ หลิงฮันก็พบว่าการก้าวเท้าไปเบื้องหน้านั้นทำได้ยากยิ่ง เพียงแค่ขยับเท้านิดเดียวก็ส่งผลให้เกิดคมดาบวายุอันทรงพลังที่แม้แต่กระดูกภายในร่างของเขาก็ยังได้รับความเสียหาย
คงต้องหยุดอยู่เพียงเท่านี้
หลิงฮันหยุดเท้า เขารวบรวมปราณก่อเกิดมาไว้ที่ดวงตาพร้อมกับโคจรเนตรแห่งสัจธรรมจ้องมองไปยังยอดเขา
ด้วยระดับพลังในปัจจุบัน เนตรแห่งสัจธรรมนั้นแทบจะไม่มีผลอีกต่อไป เพียงแต่มันก็ถือว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่ง แม้จะช่วยได้เล็กน้อยก็ยังที่กว่าทิ้งไว้เฉยๆโดยไม่ใช้ประโยชน์อะไรเลย
ภาพระยะไกลที่เคยเรือนรางเริ่มค่อยๆชัดขึ้นจนสามารถมองเห็นบางอย่าง
หลิงฮันขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาที่ฝืนมองทะลุผ่านแรงกดดันอันรุนแรงได้ส่งผลกระทบต่อเขาทันที ดวงตาของเขารู้สึกเจ็บปวดราวกับกำลังจะกลายเป็นคนตาบอด แต่แทนจะที่ยอมแพ้เขากลับรวบรวมพลังปราณไปยังดวงตาเพิ่มมาขึ้นไปอีก
“อั่ก!” ความเจ็บปวดถาโถมมายังดวงตาจนต้องรีบหันหน้าหนี ดวงตาของเขามีโลหิตและน้ำตาไหลนองออกมา
หลังจากฟื้นฟูดวงตาด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์สักพักหลิงฮันก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น
แต่ท้ายที่สุด แม้จะเพียงแวบเดียวเขาก็ได้เห็นสิ่งอยู่ด้านบนยอดเขา
สภาพแวดล้อมบนยอดเขาปรากฏแต่เพียงก้อนหินสีดำโดยที่ไม่มีต้นไม่หรือพืชใดๆแม้แต่ต้นเดียว แต่บริเวณกึ่งกลางของยอดเขานั้นกลับมีใครบางคนนั่งอยู่ ร่างนั้นสูงใหญ่ราวๆหมื่นฟุต ร่างกายเป็นสีเขียวมรกตราวกับต้นไม้
ร่างนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมาก!
ร่างส่วนบนของเขาเป็นมนุษย์ไม่ผิดแน่ แต่ที่หัวกลับปรากฏเขาขนาดใหญ่สองเขาโดยที่ตั้งแต่บริเวณหน้าอกลงมาร่างกายส่วนร่างของเขากลับมีขาสี่ขาซึ่งดูแล้วเหมือนกับกวางไม่ผิดเพี้ยน ไม่ว่าเขาจะเป็นมนุษย์หรือกวางก็ตาม อักขระสีครามที่อยู่บนร่างของเขาได้ปลดปล่อยออร่าแห่งพลังชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา
แต่ที่รู้แน่ชัดคือร่างนี้ได้ตายไปแล้ว!
ที่หน้าผากของร่างนั้นปรากฏรูขนาดหนาเท่านิ้วมือ
ต้องเป็นรูแผลนี้แน่นอนที่เป็นต้นเหตุให้กวางยักษ์มรกตตนนี้สิ้นชีพ
ตามร่างกายของกวางยักษ์มรกตมีโลหิตสีเขียวไหลออกมาซึ่งเป็นโลหิตของยักษ์ตนนี้เองที่เป็นพลังงานหล่อเลี้ยงภูเขาลูกนี้ บางทีป่าหนาทึบที่อยู่โดยรอบก็อาจจะเติบโตขึ้นเพราะโลหิตของเขาเช่นกัน
กวางยักษ์มรกตตนนี้สมควรบ่มเพาะอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ปฐพีพฤกษาเป็นแน่ เพราะงั้นหลังจากที่เขาตายไปแล้วพลังปราณที่รั่วไหลออกมาจากร่างถึงได้กลายเป็นแหล่งพลังงานหล่อเลี้ยงเขตแดนลี้ลับแห่งนี้จนเกิดเป็นมหาสมุทรป่าไม้ ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะกวางยักษ์มรกตตนนี้อีกเช่นกันที่ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยแรงกดดันรุนแรงจนแม้แต่เซียนก็ไม่อาจขึ้นไปถึงยอดเขา
หลิงฮันนึกถึงภาพที่เขาเห็นในแวบสุดท้าย ข้างกายของกวางยักษ์มรกตมีพืชขนาดเล็กต้นหนึ่งงอกขึ้นมา ลำต้นของพืชต้นนั้นสูงไม่เกินครึ่งฟุตและออกผลสีเขียวมรกต
เขาไม่รู้ว่าผลของพืชต้นนั้นเป็นสมุนไพรชนิดใด แต่ที่รู้แน่นอนคือการที่มันสามารถเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นได้มันจะเป็นต้องสมุนไพรที่ล้ำค่ามากไม่ผิดแน่! น่าเสียดายยิ่งนักที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวมันได้!
หลิงฮันโอดครวญในใจ ช่างน่าเจ็บปวดใจอะไรเยี่ยงนี้ สมุนไพรล้ำค่าอยู่ต่อหน้าแท้ๆแต่กลับทำอะไรไม่ได้ เขาถอนหายใจและหันหลังเดินลงจากภูเขา
เป้าหมายหลักในตอนนี้คือค้นหาจักรพรรดินีและคนอื่นๆ ส่วนสมุนไพรนั่นค่อยคิดทีหลังว่าจะเอามาอย่างไรดี
ในขณะที่หลิงฮันหันหลังและก้าวเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว ความรู้สึกอันแปลกประหลาดก็ผุดขึ้นมา แต่พอเขาหยุดก้าวเท้าความรู้สึกที่ว่ากลับหายไปทันที เมื่อเขาลองก้าวเดินต่ออีกครั้งเพียงชั่วครู่ความรู้สึกแปลกประหลาดก็หวนกลับมา
เขารีบเดินอย่างรวดเร็ว ยิ่งลงมาด้านล่างแรงกดดันและคลื่นดาบวายุก็ยิ่งรุนแรงน้อยลงจนกายหยาบของเขาต้านทานไหว
ทันทีที่โคจรแสงอัสนีความเร็วของเขาก็บรรลุขีดจำกัดความเร็วของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเทียบเคียงได้กับความเร็วของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์และความรู้สึกแปลกประหลาดก็หายไปอีกครั้ง
“มีอะไรบางอย่างกำลังไล่ตามข้า?” เขาหยุดเดินและครุ่นคิด หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้แล้วความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อครู่จะอธิบายเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร
เขาก้าวเดินลงภูเขาต่อ แต่ผ่านไปไม่นานความรู้สึกแปลกประหลาดก็กลับมา
หลิงฮันรีบหันหลังแต่ก็พบกับความว่างเปล่า ในขณะเดียวกันความรู้สึกแปลกประหลาดก็หายไป
แปลกมาก!
หลิงฮันหันหน้ากลับมาและก้าวเดินอย่างเชื่องช้า หลังจากเดินไปได้นานราวหนึ่งก้านธูปร่างของเขาก็โคจรแสงอัสนีพุ่งทะยานกลับไปด้านหลัง
ทันใดนั้นเองสีหน้าของหลิงฮันก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง เขาพบเจอต้นตอที่ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดแล้ว
สิ่งที่แอบตามเขาไม่ใช่มนุษย์หรือสัตว์อสูร
มันคือ…กระดูกท่อนหนึ่ง!
กระดูกท่อนนี้มีความยาวราวๆหนึ่งฟุต ผิวกระดูกของมันขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะ กระดูกแท่งนี้ตั้งตรงราวกับยืนด้วยขาสองขา ทันทีที่มันเห็นร่างของหลิงฮันโผล่พรวดเข้ามา มันก็ทำท่าทางเหมือนกับรีบหันหลังเพื่อเตรียมเผ่นหนี