หลังจากเสร็จสิ้นการต่อสู้เสี่ยวกู่ก็กลับมาไร้เดียงสาอีกครั้ง ใบหน้ามันของแสดงออกถึงความสับสนและดูไม่เหมือนกับหนึ่งในตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในโลกแห่งนี้แม้แต่น้อย
หลิงฮันไม่ลงมือเข่นฆ่าสมาชิกคนอื่นๆเพียงเพราะพวกเขาบ่มเพาะพลังในรูปแบบที่ต่างกัน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะยึดครองทรัพย์สมบัติของตระกูลหย่วน
แม้สิ่งที่ยึดมาได้จะไม่มีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำอยู่เลยแต่ก็มีสมุนไพรในระดับวารีนิรันดร์และแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์อยู่มากมาย
ทั่วทั้งตระกูลหย่วนตกอยู่ในความอลหม่าน พวกเขาหวาดกลัวว่าหลิงฮันจะสังหารพวกเขาทั้งหมดทุกคน แต่เมื่อได้ยินว่าหลิงฮันไม่คิดจะทำเช่นนั้นพวกเขาถึงค่อยรู้สึกโล่งอก
เขาได้รับทักษะบ่มเพาะของตระกูลหย่วนมา หลังจากตรวจสอบดีแล้วก็เป็นอย่างที่คิด พวกเขามีรูปแบบบ่มเพาะพลังที่แตกต่างออกไป
แม้เขตแดนลี้ลับแห่งนี้จะมีพลังวิญญาณที่หนาแน่นแต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใดต่อจอมยุทธในโลกนี้ เนื่องจากแหล่งพลังงานที่พวกเขาใช้บ่มเพาะพลังนั้นมาจากแม่น้ำมหึมา
ดูเหมือนว่าหากอยากรู้เรื่องราวมากกว่านี้คงต้องมุ่งหน้าไปยังต้นสายของแม่น้ำ
ในโลกเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ไม่มีศาสตร์ปรุงยา หลิงฮันทดสอบดูแล้ว เม็ดยาที่ถูกหลอมขึ้นมานั้นไม่เพียงจะไม่ส่งผลดีต่อจอมยุทธที่นี่ แต่ยังทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย
หลิงฮันลองถามเรื่องราวต่างๆกับเสี่ยวกู่ดูแล้วสุดท้ายก็ไม่รับคำตอบใดๆนอกจาก ‘ยี่ ยา ย่า’
เขาเข้าสู่หอคอยทมิฬเพื่อทำการชำระล้างอำนาจกัดกร่อนของเห็ดซากศพให้เหลือแต่เพียงอำนาจส่วนที่เป็นประโยชน์ เขาต้องการจะแบ่งเห็ดซากศพแก่สตรีนกอมตะแต่นางก็ปฏิเสธและยืนกรานว่าจะให้เขากินคนเดียว
“เมื่อใดที่เจ้าบรรลุเป็นเซียนระดับสูง เจ้าก็จะสามารถพาข้าเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ซึ่งที่นั่นคงมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำอยู่มากมาย ข้าไม่รีบ” นางกล่าวเช่นนั้น
หลิงฮันพยักหน้า ที่นางว่ามาก็มีเหตุผล ตราบใดที่เขา จักรพรรดินีหรือจักรพรรดิพิรุณคนใดคนหนึ่งบรรลุเป็นเซียนระดับสูงได้ พวกเขาก็จะสามารถเปิดเส้นสู่ดินแดนแห่งเซียนได้พร้อมกับนำพาคนจำนวนหนึ่งเข้าอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์และผ่านไปยังดินแดนแห่งเซียนด้วยกัน
แน่นอนว่ายิ่งเขาบรรลุเป็นเซียนระดับสูงก่อนก็ยิ่งดี ด้วยศักยภาพของเขา เมื่อทะลวงผ่านเป็นเซียนระดับสูงแล้ว เขาคงเข้าสู่ส่วนลึกของเมฆสายฟ้าได้อีกครั้งและสามารถเก็บเกี่ยวหยดสายฟ้าสวรรค์
เขากินเห็ดซากศพเข้าไป รสชาติของมันห่วยแตกเกินจะพรรณนา ต่อให้ส่วนที่เป็นพิษจะถูกชำระล้างออกไปแล้วแต่กลิ่นเน่าเหม็นของมันก็ยังอยู่
หลิงฮันไม่แม้แต่เคี้ยว เขากลืนมันลงท้องและรีบดูดซับพลังจากสมุนไพรทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก้อนพลังอันมหาศาลก็เดือดพล่านอยู่ในร่างกายของเขา หลิงฮันรีบชี้นำก้อนพลังของสมุนไพรให้แปรเปลี่ยนเป็นดาวดวงในวิถีวงโคจรดาราจักร
ในขณะเดียวกัน อำนาจแห่งกฎเกณฑ์จำนวนมากก็ได้ไหลผ่านเข้าสู่ห้วงจิตวิญญาณของเขา เพียงแต่ว่าเขาไม่สามารถทำความเข้าใจพวกมันได้แม้แต่น้อยและต้องยอมมองข้ามพวกมันไปอย่างน่าเสียดาย
เห็ดซากศพต้นนี้ไม่ได้เกิดมาจากซากศพของราชาเซียนแต่เป็นตัวตนที่ทรงพลังกว่านั้น ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเจ้าของศพสูงส่งเกินไปจนหลิงฮันไม่สามารถทำความเข้าใจได้
แต่ก็ช่างมัน สำหรับหลิงฮันในตอนนี้สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือสะสมพลังปราณให้ได้มากที่สุด
พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลจากสมุนไพรถูกดูดซับและนำไปควบแน่นเป็นดวงดาวด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง
หกสิบล้าน… เจ็ดสิบล้าน… แปดสิบล้านดวง!
ความจริงประสิทธิภาพในการสะสมพลังปราณของสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้ดีเลิศอะไรมาก แต่ด้วยการที่เห็ดซากศพเป็นสมุนไพรระดับราชาเซียนและหลิงฮันยังเป็นเพียงเซียนระดับกลาง เมื่อรวมกับกายหยาบของเขาที่สามารถทนทานต่อความรุนแรงของฤทธิ์สมุนไพรได้ ความเร็วในการพัฒนาของเขาจึงเป็นไปอย่างก้าวกระโดด
ท้ายที่สุดแล้วจำนวนของดวงดาวก็มาหยุดอยู่ที่ 99,999,999 ดวง เขาอยู่ห่างจากเซียนระดับกลางสูงสุดอีกเพียงดวงดาวดวงเดียว แต่ทว่าการควบแน่นดวงดาวดวงสุดท้ายนี้ทำได้ยากยิ่งกว่าดวงก่อนๆ หลิงฮันเก็บตัวต่ออีกสิบห้าวันกว่าจะควบแน่นดวงดาวดวงสุดท้ายได้สำเร็จ
ตอนนี้เขาพร้อมจะทะลวงผ่านเป็นเซียนระดับสูงแล้ว!
หลิงฮันถอนหายใจ หากไม่ใช่เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ในเขตแดนลี้ลับคงจะถึงเวลาที่ทุกคนต้องไปเตรียมตัวเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องตามหาพวกจักรพรรดินีให้เจอ แต่พูดก็พูด หากไม่พบเจอเขตแดนลี้ลับแห่งนี้เขาก็คงไม่สามารถบรรลุเซียนระดับกลางสูงสุดได้ไวเช่นนี้
หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬ หากจะทะลวงผ่านเป็นเซียนระดับสูงเขาจำเป็นต้องขัดเกลาความเข้าใจในระดับพลังให้เพียงพอเสียก่อน ต่อให้มีการช่วยเหลือจากต้นสังสารวัฏก็ต้องใช้เวลาเป็นปี ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมัวเก็บตัวนานขนาดนั้น
หลังจากบรรลุเป็นเซียนระดับกลางสูงสุด พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้จึงเทียบเท่าได้กับราชาเซียนสูงสุด ต่อให้ไม่กระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมตัวเขาก็นับว่าไร้เทียมทานแล้ว
“สิ่งสำคัญที่คือของศาสตร์วรยุทธคือพลังที่แท้จริงของตัวเอง!” หลิงฮันกล่าวในใจ รูปแบบอาคมสังหารสามารถใช้ช่วยเพิ่มพลังให้แก่เขาได้ก็จริงแต่ก็ไม่ควรพึ่งพามันมากเกินไป เปรียบแล้วก็ไม่ต่างจากการที่เขาหลบหนีเข้าไปซ่อนตัวในหอคอยทมิฬเมื่อพบเจออันตราย
หลังจากออกมาจากหอคอยทมิฬ กลุ่มของพวกเขาห้าคนก็ออกจากตระกูลหย่วนและเดินเลียบไปตามแม่น้ำ เป้าหมายของพวกเขาคือต้นสายของแม่น้ำมหึมาสายนี้
ตระกูลหย่วนอาศัยอยู่ในตำแหน่งล่างสุดของแม่น้ำยังมีตัวตนระดับราชาเซียนถึงห้าคน ยิ่งมีการสนับสนุนจากอำนาจแห่งจักรภพ พลังต่อสู้ของทั้งห้าจึงบรรลุเป็นราชาเซียนสูงสุดโดยที่คนหนึ่งได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของราชาเซียนสูงสุดไปแล้วด้วยซ้ำ หากเป็นตระกูลที่อาศัยอยู่ช่วงกลางหรือช่วงบนของแม่น้ำล่ะ จำนวนของราชาเซียนจะมีมากขนาดไหน?
หลิงฮันไต่ถามแล้ว แต่ตระหย่วนนั้นไม่แข็งแกร่งพอที่จะไปยังช่วงกลางของแม่น้ำ ทำให้พวกเขารู้เพียงแค่ว่าตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในแม่น้ำช่วงล่างมีจอมยุทธที่แข็งแกร่งเทียบเท่าราชาเซียนอยู่ถึงสิบคน
เพราะงั้นหากเป็นตระกูลในแม่น้ำช่วงบน บางทีพวกเขาอาจจะมีราชาเซียนอยู่นับร้อย!
อย่างน้อยในตอนนี้หลิงฮันก็ยังไม่อยากสร้างปัญหาเท่าไหร่ สิ่งที่แรกเขาต้องทำคือตามหาจักรพรรดินีให้เจอ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้กล่าวย้ำกับเสี่ยวกู่อยู่หลายต่อหลายครั้งว่าห้ามลงมือตามสัญชาตญาณและเปิดโปงสถานะผู้นำพาภัยพิบัติของตัวเองเด็ดขาด
เมื่อเป็นคำขอความหลิงฮันเสี่ยวกู่จึงยอมรับฟัง มันพยักหน้าและกล่าว ‘ยี่ ยา ย่า’ ราวกับต้องการสื่อว่ามันจะพยายามควบคุมตัวเอง
ระหว่างทางพวกเขาไม่คิดจะสร้างปัญหาใดๆ หากบังเอิญพบเจอจอมยุทธของโลกนี้พวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงการปะทะคงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็วที่สุด ตราบใดที่ไม่พบเจอศัตรูระดับราชาเซียน ด้วยพลังของหลิงฮันในตอนนี้ย่อมสะสางได้อย่างง่ายดาย
แต่หนทางของพวกเขาก็ยิ่งลำบากขึ้นเรื่อยๆ
สายน้ำเส้นนี้เป็นหัวใจของเหล่าจอมยุทธในโลกนี้ หลังจากผ่านช่วงล่างของแม่น้ำมาถึงช่วงกลางได้ ที่ริมแม่น้ำก็มีเหล่าจอมยุทธที่ทรงพลังคอยเฝ้าอยู่ หากต้องการเดินเลียบแม่น้ำต่อไป พวกหลิงฮันจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธทรงพลังเหล่านี้เสียก่อน
จะอ้อมไปทางอื่นหรือบุกผ่านไปซึ่งๆหน้าดี?
หลิงฮันครุ่นคิด