บริเวณนั้นคือทางน้ำซึ่งไม่อาจเข้าเมืองผ่านเส้นทางนั้นได้
จักรพรรดินีสวมผ้าปิดหน้า นางงดงามเกินไป ในดินแดนแห่งเซียนนี้ด้วยพลังที่ยังอ่อนแอของพวกเขา หากนายน้อยเจ้าสำราญของตระกูลใดเกิดต้องการตัวนางคงเป็นปัญหาใหญ่
แน่นอนว่าหอคอยทมิฬก็ไม่อาจใช้อย่างเปิดเผยได้เช่นกัน ในดินแดนแห่งเซียน บางอาจทีตัวตนระดับโลกียนิพพานหรือระดับแบ่งแยกวิญญาณอาจจะมองเห็นความลึกลับของหอคอยทมิฬ
หลังจากเดินวนรอบนอกของเมืองราวๆครึ่งวัน ในที่สุดพวกเขาก็พบประตูเข้าเมืองอันใหญ่มหึมา
ประตูเมืองมหึมาในตอนนี้ปิดอยู่ ที่มุมหนึ่งของประตูมหึมามีประตูขนาดเล็กอยู่อีกบานซึ่งมียามรักษาการคอยคุ้มกันอยู่
แม้จะเรียกว่าประตูขนาดเล็ก แต่มันก็มีกว้างถึงร้อยฟุตและสูงราวๆพันฟุต
จักรพรรดิเพลิงอัสนีหยุดเดินและกล่าว “หากจะเข้าเมืองจำเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทางเสียก่อน โดยปกติแล้วจะจ่ายเป็นศิลาดวงดาวที่ขุดมาจากหินอุกาบาตซึ่งมีอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีบรรจุอยู่ภายใน หรือไม่งั้นก็ต้องจ่ายด้วยสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ”
หลิงฮันและจักรพรรดินีหันมองหน้ากันด้วยความรู้สึกหนักอึ้งภายในหน้าอก การต้องจ่ายเพียงแค่ค่าเข้าเมืองด้วยสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำนั้นเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเกินไป!
“อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งสามัญสำหรับที่นี่ เจ้าไม่สามารถใช้มันซ่อนใครเอาไว้ได้ หากผ่านเข้าเมืองไปทั้งแบบนี้จะถือว่าเจ้าจงใจการฝ่าฝืนกฎของเมือง” จักรพรรดิเพลิงอัสนีกล่าว
หลิงฮันพยักหน้า “งั้นก็ต้องนำทุกคนออกมาก่อน”
พวกเขาล่าถอยออกห่างจากเมืองราวๆหมื่นไมล์ ด้วยการที่พวกเขาอยู่ใกล้เมืองจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบเจอกับสัตว์อสูร
ราชาเซียนชิงอวี่ โอวหยางไท่ซาน เซียนซิงฉาและคนอื่นๆถูกนำตัวออกมา หลังจากได้รับฟังเรื่องราวต่างๆจากหลิงฮันแล้วเหล่าเซียนต่างพยักหน้า
ตราบใดที่มีเวลาเพียงพอ เซียนเหล่านี้ย่อมมีโอกาสที่จะบรรลุกลายเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน การที่พวกเขาสามารถบรรลุเป็นเซียนได้ในโลกบรรพกาลได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีพรสวรรค์อันโดดเด่น
พวกเขาจะอาศัยอยู่แถวนี้ไปก่อน สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำสามารถพบเจอได้จากพื้นที่โดยรอบ เพราะงั้นพวกเขาค่อยๆส่งคนเข้าไปในเมืองก็ได้
จักรพรรดิเพลิงอัสนีได้ย้ำเตือนพวกเขาด้วยว่า หากถูกใครถามก็ให้ตอบไปว่าทุกคนอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งเซียนมาตั้งแต่เกิดและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับโลกบรรพกาล ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจถูกไล่ล่าสังหารทีละคน
สิ่งแรกที่ทุกคนจำเป็นต้องทำคือผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองให้สมบูรณ์ หากทำไม่สำเร็จก็ห้ามเข้าเมืองเด็ดขาด
เมื่อหน้าที่ของตัวเองสิ้นสุดแล้ว พวกหลิงฮันทั้งสี่ก็เดินย้อนกลับไปที่เมือง
“หยุด!” เมื่อมาถึงประตูเมือง พวกเขาก็ถูกทหารยามสั่งให้หยุด
ทั้งสองคนคือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์!
ทหารยามนั้นรวมๆแล้วมีอยู่สิบหกคน พวกเขาทุกคนเป็นจอมยุทธระดับเดียวกันทั้งหมด
จักรพรรดิเพลิงอัสนีส่งคำพูดผ่านสัมผัสสวรรค์หาหลิงฮัน “ที่แห่งนี้ควรเป็นเพียงเมืองหนึ่งดาวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นทหารยามคงไม่ใช่แค่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ไม่กี่คน”
เขากล่าวเสริมอีกว่าหากเป็นเมืองห้าดาวของตัวตนระดับราชานิรันดร์ แม้ทหารยามจะเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งแต่ก็ยังมีนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานอยู่คุมสถานการณ์ข้างๆอีกคนหรือสองคน
“ค่าผ่านทาง” ทหารยามยื่นมือออกมา
หลิงฮันอดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดและส่งสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำสี่ต้นให้แก่ทหารยาม
“เข้าไปได้” ทหารยามโบกมือ
ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านประตูเมือง คลื่นแสงบางอย่างก็กวาดผ่านร่างของพวกเขาเพื่อตรวจสอบอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่รึไม่ ไม่เช่นนั้นในกรณีที่ขุมอำนาจที่เป็นศัตรูแอบลักลอบพากองทัพเข้ามาผ่านอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำคงกลายเป็นปัญหาใหญ่
หลังจากทั้งสี่เข้าสู่เมือง จักรพรรดิเพลิงอัสนีก็ตบตูดขอตัวจากไปทนัที “เจ้าหนู คงถึงเวลาแยกทางกันแล้ว เพื่อการแก้แค้น ข้าจำเป็นต้องเก็บตัวบ่มเพาะเพื่อกลับสู่ระดับพลังในชีวิตก่อนให้เร็วที่สุด”
กล่าวเสร็จเขาก็จากไป
“นายท่านหมาเองก็อยากเร่ร่อนไปมาอย่างอิสระ แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจดจำกลิ่นของเจ้าได้แล้ว ต่อให้เจ้าตายและถูกฝังข้าก็ยังหาเจ้าพบ” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยคำพูดกวนประสาท
“ไสหัวไป!” หลิงฮันถีบฝ่าเท้า สุนัขตัวดำรีบสะบัดตูดเผ่นหนีทันที
ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขากับจักรพรรดินีและคนจำนวนหนึ่งในหอคอยทมิฬ
แม้ที่นี่จะเป็นเมืองแต่ก็มีขนาดใหญ่เทียบได้กับดวงดาวทั้งดวง เพราะงั้นภายในเมืองจึงไม่ได้มีแค่สิ่งก่อสร้างสำหรับอาศัยแต่ยังมีพื้นที่ที่เป็นแม่น้ำ ทะเลทรายหรืออาณาเขตน้ำแข็ง
ตามถนนมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนเดินผ่านไปมา ซึ่งไม่มีใครเลยที่สนใจหลิงฮันหรือจักรพรรดินี
เขาและจักรพรรดินีเดิมเข้าสู่ฝูงชนและฟังบทสนทนาจากคนรอบข้าง พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในดินแดนแห่งเซียนมาก่อน เพราะงั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือหาข้อมูลอะไรสักอย่าง
จากบทสนทนารวมๆที่หลิงฮันกับจักรพรรดินีได้ยิน ดูเหมือนว่าเรื่องที่น่าสนใจที่สุดจะเป็นเรื่องที่กองกำลังธุลีจันรทรากำลังรับสมัครคน
หลิงฮันเผยสีหน้าปั้นยาก
กองกำลังธุลีจันรทรา? ที่นี่คือเมืองธุลีจันรทราที่ตระกูลติงของติงจื่อเฉินและติงเหยาหลงตั้งอยู่? อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น!
เพียงแต่ว่าขุมอำนาจระดับโลกียนิพพานของเมืองธุลีจันรทรานั้นมีถึงสามตระกูล ซึ่งตระกูลติงก็เป็นหนึ่งในนั้น
นอกจากนั้น แม้เบื้องหน้าเมืองธุลีจันรทราจะดูเหมือนอยู่ในการปกครองของตระกูลทั้งสาม แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่
ทำไมน่ะรึ?
ในดินแดนแห่งเซียน ขุมอำนาจที่อ่อนแอจำเป็นต้องมีผู้หนุนหลัง ขุมอำนาจระดับโลกียนิพพานจำเป็นต้องขอยืมพลังของขุมอำนาจระดับแบ่งแยกวิญญาณ ขุมอำนาจระดับแบ่งแยกวิญญาณจำเป็นต้องขอยืมพลังของขุมอำนาจระดับขอบเขตตำหนักอมตะและสูงขึ้นไปตามลำดับ
เมืองธุลีจันรทราคือเมืองหนึ่งดาวที่มีอำนาจรั้งท้ายสุดของดินแดนแห่งเซียน ขุมอำนาจเบื้องหลังพวกเขาคือนิกายจันทราหม่นแสงที่เป็นขุมอำนาจระดับแบ่งแยกวิญญาณ
ส่วนขุมอำนาจเบื้องหลังนิกายจันทราหม่นแสงอีกทีก็คือตระกูลฟู่
เพราะงั้นหากพูดกับตามตรงแล้วเมืองธุลีจันรทรานั้นอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ เพียงแต่ว่าเมืองที่ตระกูลฟู่เป็นผู้ปกครองนั้นมีอยู่นับพัน พวกเขาจึงไม่คิดจะจัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆด้วยตนเองและมองหน้าที่การดูแลให้แก่ตระกูลทั้งสาม
เพราะงั้นหากเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทราได้สำเร็จและมีผลงานที่โดดเด่น ก็จะมีโอกาสได้เข้าสู่เมืองสามดาวและได้รับการฝึกฝนจากตระกูลฟู่
ในดินแดนแห่งเซียน หลังจากบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแล้วอายุขัยจะกลายเป็นไร้ขีดจำกัด ทั้งๆที่เป็นเช่นนั้นแล้วเหตุใดจอมยุทธที่บรรลุระดับแบ่งแยกวิญญาณหรือระดับขอบเขตตำหนักอมตะจึงมีเพียงหยิบมือ?
เหตุผลแรกเป็นเพราะการจะครอบครองทักษะบ่มเพาะระดับนิรันดร์นั้นเป็นเรื่องยากลำบาก เหตุผลที่สองคือปัญหาในเรื่องทรัพยากรบ่มเพาะ สองอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ปัญหาได้ด้วยการมีอายุขัยไร้ขีดจำกัด
ด้วยเหตุนี้แล้ววิธีการยกระดับพลังที่รวดเร็วที่สุดคือเข้าร่วมกับนิกายหรือตระกูลที่ทรงพลังให้ได้
ตอนนี้คือโอกาสดี กองกำลังธุลีจันรทราจะเปิดรับคนหนึ่งครั้งในทุกๆร้อยปี หากพลาดโอกาสนี้พวกเขาก็ต้องเสียเวลารอไปอีกหนึ่งร้อยปี
หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดินีซึ่งจักรพรรดินีเองก็พยักหน้าตอบ พวกเขาจำเป็นต้องหาทางผสานตัวตนให้กลมกลืนกับดินแดนแห่งเซียน การเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทราถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้