“ลงมือ!” เจียงอู๋ซางคำราม ‘ครืน’ มือทั้งสองข้างของเขาปลดปล่อยคลื่นพลังเจิดจ้าไร้สิ้นสุดราวกับดวงตะวัน
ด้วยพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธที่มีมาแต่กำเนิด ต่อให้เขาไม่สนใจฝึกฝนก็ยังมีพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว ทุกๆการโจมตีรุนแรงจนทำให้สวรรค์และปฐพีเปลี่ยนสี หากเป็นที่โลกบรรพกาลเพียงแค่สมหายใจของเขาก็สามารถบดขยี้ดวงดาวทั้งดวงได้
แต่น่าเสียต่อหน้าหลิงฮัน พลังเท่านี้ยังไม่เพียงพอ
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หลิงฮันมีพลังต่อสู้ไร้เทียมทานในระดับสร้างสรรพสิ่ง ต่อให้เขาไม่ทำการตอบโต้ใดๆ เจียงอู๋ซางจะสร้างความเสียหายให้กายหยาบของเขาได้?
เพียงแต่ว่าว่าหลิงฮันไม่คิดจะรีบลงมือ นี่คือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเจียงอู๋ซางเขาจึงคิดจะให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา
เจียงอู๋ซางไม่สนใจว่าจะชนะหรือแพ้ เขาเพียงแสดงทักษะวรยุทธที่ฝึกฝนมาทั้งชีวิตออกมา ด้วยพลังของเขา การจะสังหารโจรภูเขาทั้งหมดในที่นี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย
หลิงฮันที่คลั่งไคล้วิถีวรยุทธเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายก็รู้สึกถูกกระตุ้น ‘พรึบ’ เพลิงเก้าสวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมา เขาโคจรกาลเวลาแปรผันพันปีเพื่อสลายการโจมตีที่พุ่งเข้าใส่ทั้งหมดและเคลื่อนที่ไปปรากฏด้านหน้าเจียงอู๋ซางด้วยแสงอัสนี
‘ปัง’ หมัดที่ปกคลุมด้วยเพลิงเก้าสวรรค์ทะลวงผ่านหัวใจของเจียงอู๋ซาง ด้วยอำนาจเผาผลาญของเพลิงเก้าสวรรค์ทำให้ไม่มีโลหิตแม้แต่หยดเดียวไหลออกมา
เจียงอู๋ซางกระอักโลหิต เขาจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาที่ค่อยๆเลือนรางและเผยรอยยิ้มผ่อนคลาย
เนื่องจากความมืดที่ต้องการแก้แค้นได้กัดกินจิตใจของเขาตลอดเวลาทำให้เขาไม่สามารถฆ่าตัวตายได้ เขาหวังอยู่ลึกๆว่าสักวันหนึ่งจะมีใครสักคนที่ทรงพลังมาช่วยปลิดชีวิตของตัวเอง
หากตายเขาก็จะได้ไปพบเจอภรรยาและบุตรอีกครั้งในภพหน้า หากชีวิตหลังความตายมีจริง พวกเขาคงสามารถใช้ชีวิตในแบบครอบครัวได้อีกครั้ง
เพลิงเก้าสวรรค์ปลดปล่อยอำนาจอันทรงพลังแผดเผาเจียงอู๋ซางกลายเป็นเศษขี้เถ้า
หลิงฮันยื่นเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับจักรพรรดินี “เก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้วกลับกันเถอะ”
“อืม!” จักรพรรดินีพยักหน้า เนื่องจากสิ่งเดียวที่อยู่ในสายตาของนางคือหลิงฮัน นางจึงไม่รู้สึกใดๆกับเรื่องราวและความตายของเจียงอู๋ซาง
สมบัติทั้งหมดของรังโจรถูกสองสามีภรรยาปล้นชิงไม่เหลือ สมบัติมีทั้งเม็ดยาจำนวนมาก สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำและอุปกรณ์เซียน หลิงฮันนำแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ที่พบเจอให้ดาบอสูรนิรันดร์กลืนกินทันที หลังจากดูดกลืนแร่โลหะทั้งหมดในที่สุดดาบอสูรนิรันดร์ก็ยกระดับ
อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเก้า!
ทรัพยากรที่มากมายของดินแดนแห่งเซียนคงสามารถทำให้ดาบอสูรนิรันดร์บรรลุระดับยี่สิบได้อย่างไม่ยากลำบาก แต่ตั้งแต่ระดับอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ไปยังอุปกรณ์นิรันดร์นั้นเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงดาบอสูรนิรันดร์จะต้องกลืนกินอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมหาศาลแต่ยังต้องรับบททดสอบจากสวรรค์และปฐพีด้วย
อุปกรณ์นิรันดร์ก็เปรียบเหมือนราชานิรันดร์ จะบรรลุระดับนั้นง่ายๆได้อย่างไร?
“หลิงฮัน มาดูนี่หน่อย” จักรพรรดินีเอ่ยเรียก
ที่ที่พวกเขาอยู่คือบริเวณที่กลุ่มโจรภูเขาใช้กองรวมสมบัติเอาไว้โดยที่ไม่ใส่เก็บไว้ในอุปกรณ์มิติ
จักรพรรดินีถือคัมภีร์ที่ดำสนิทอยู่ในมือ ม้วนคัมภีร์ดูหนักและหนาแน่นเป็นอย่างมากเนื่องจากมันไม่ได้ถูกทำขึ้นจากกระดาษ แต่สมควรเป็นแร่โลหะที่นำมาบีบอัดหรือไม่ก็หนังของสัตว์อสูรที่ทรงพลัง
จากภายนอกม้วนคัมภีร์ได้ถูกมัดเอาไว้เป็นชั้นๆด้วยสายรัดที่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ดึงสายรัดไม่ออก
สายรัดนี้ดูราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับม้วนคัมภีร์ ไม่ว่าจะออกแรงขนาดไหนก็แก้มัดไม่ได้
หลิงฮันและจักรพรรดินีมองหน้ากันด้วยแววตาตกตะลึง
“ม้วนคีมภีร์แผ่นนี้จะต้องถูกเขียนขึ้นโดยปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งเป็นแน่ หากระดับพลังไม่ถึงคงไม่มีคุณสมบัติที่จะเปิดมัน” หลิงฮันกล่าว แม้แต่เขาที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ระดับโลกียนิพพานก็ไม่สามารถเปิดม้วนคัมภีร์ได้
ทั้งสองพยายามช่วยกันแล้วก็แต่ก็ไม่สำเร็จ
“เก็บมันไว้ก่อนแล้วกัน” หลิงฮันคิดจะนำม้วนคัมภีร์เข้าไปไว้ในหอคอยทมิฬ แต่เขาก็ต้องประหลาดเมื่อพบว่าไม่อาจทำเช่นนั้นเนื่องจากสัมผัสสวรรค์ของเขาโอบล้อมม้วนคัมภีร์ไม่ได้
หากยกตัวอย่างให้สัมผัสสวรรค์ของเขาเป็นตาข่าย ม้วนคัมภีร์ก็เปรียบเสมือนวัตถุอันหนักอึ้ง เมื่อนำตาข่ายห่อหุ้มวัตถุหนัก ตาข่ายก็จะขาดทันทีเมื่อยกตาข่ายขึ้น
แผนการที่เขาคิดจะเปิดม้วนคัมภีร์ในหอคอยทมิฬล้มเหลวเสียได้
เพียงแต่ผลกอบโกยในครั้งนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยม พวกเขาได้สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำมานับร้อย หากไม่ใช่เพราะกลุ่มโจรภูเขากินไปบ้างแล้วจำนวนคงจะมีเยอะกว่านี้กหลายเท่า แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์เองก็มีมากมายเช่นกันแต่ได้ถูกดาบอสูรนิรันดร์กลืนกินไปหมดแล้ว
นอกจากนี้ก็ยังมีหินดวงดาวอีกหลายพันก้อนและผ้าไหมมากมายที่ถูกสานขึ้นจากหนังของสัตว์อสูรระดับสร้างสรรพสิ่ง ผ้าไหมเหล่านี้คือวัสดุเซียนที่สามารถนำมาสร้างเป็นชุดสวมใสที่ทนทาน
หลิงฮันพึงพอใจเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะเรื่องราวกับน่าสลดของเจียงอู๋ซางเขาคงจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่จากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้เขาตัดสินใจหนักแน่นได้แล้วว่าตระกูลติงจำเป็นต้องถูกลบหายไป
ไม่ว่าจะเป็นในโลกบรรพกาลหรือดินแดนแห่งเซียน เรื่องราวที่หลิงฮันได้ยินเกี่ยวกับตระกูลติงนั้นไม่มีเรื่องดีเลยแม้แต่เรื่องเดียว
หลิงฮันและจักรพรรดินีเดินทางกลับ เมื่อกลุ่มของพวกเขารู้ว่ารังของโจรภูเขาถูกหลิงฮันและจักรพรรดิเก็บกวาดสิ้นซากแล้วทุกคนก็โห่ร้องดีใจ
แน่นอนว่าไม่มีใครกล่าวถึงสินสงคราม พวกเขาเดินทางกลับสู่ค่ายกองกำลัง และด้วยตราสัญลักษณ์ของกองกำลังธุลีจันรทราพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทางเข้าเมือง
หลิงฮันไปหาอู่จิงเพื่อรายงานภารกิจ เขากล่าวไปว่ากลุ่มโจรภูเขากลุ่มนี้นั้นอ่อนแอเกินไปทำให้ถูกพวกเขาจัดการได้อย่างง่ายดาย ในหมู่พวกเขามีเพียงเจ็ดคนที่บาดเจ็บเล็กน้อย โดยที่ไม่มีใครเลยที่บาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต
อู่จิงตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เขาไปตรวจสอบกลุ่มของหลิงฮันและซากศพของโจรภูเขาที่ถูกเก็บกลับมาเป็นหลักฐาน
เมื่อยืนยันได้แล้วเขาก็รายงานเรื่องนี้ให้ติงหู่รับรู้ทันที ซึ่งเวลาผ่านไปไม่นานเขาก็ได้รับคำสั่งว่าให้หลิงฮันส่งมอบสมบัติทั้งหมดที่พบคืนให้กองกำลังเนื่องจากพวกมันเป็นทรัพย์สินที่เมืองธุลีจันรทราสูญเสียไป
เมื่อได้รับรู้คำสั่งนี้ หลิงฮันก็โมโหจนแทบจะทุบโต๊ะ
ทำไมจอมยุทธหลายคนถึงต้องการเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทรา? หนึ่งในเหตุนั้นเป็นเพราะว่าสินสงครามที่ได้รับจากภารกิจจะตกเป็นของพวกเขา
แต่พอเป็นเขากลับต้องส่งมอบคืนให้?
บัดซบ!
ดวงตาของหลิงฮันส่องประกายโหดเหี้ยม ด้วยทรัพยากรของติงหู่และตระกูลติง พวกเขาคงไม่สนใจสมบัติเล็กน้อยจากรังของกลุ่มโจรเป็นแน่ เป็นติงหู่ที่จงใจสร้างปัญหาให้แก่เขา
ตัวเจ้าที่เป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานไม่รู้สึกละอายใจเลยรึที่เพ่งเล็งเอาเปรียบกับจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง?
แต่ทว่าเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคิดก็เกิดขึ้นในเวลาต่อมา ติงหู่ถูกย้ายออกจากตำแหน่งผู้ดูแล และถูกแทนที่โดยรองแม่ทัพตระกูลล้ง ล้งเกาเฟย