คำพูดของติงเซี่ยวเฉินทำให้สมาชิกกลุ่มรู้สึกรังเกียจเขาขึ้นมาทันที
นี่เจ้าเป็นคนแบบนี้?
เจ้าคนทรยศ!
ความจริงแล้วติงเซี่ยวเฉินถูกส่งมาเข้ากองกำลังสำรองก็เพื่อการนี้ เขามีหน้าที่สำคัญคือหากพบเจอคู่ต่อสู้ในการประลองคัดเลือกเป็นกองกำลังพยัคฆ์ขาว ติงเซี่ยวเฉินจะต้องโน้มน้าวกลุ่มของตนเองให้ยอมแพ้ให้ได้เพื่อที่กองกำลังพยัคฆ์ขาวจะได้ไม่ต้องเปลืองแรง
แต่ถ้าหากคู่ต่อสู้ไม่ใช่กองกำลังพยัคฆ์ขาวล่ะ?
หากเป็นแบบนั้นติงเซี่ยวเฉินก็ต้องปลุกกำลังใจของกลุ่มเพื่อสู้กับคู่ต่อสู้อย่างสุดความสามารถ ยิ่งทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่กองกำลังพยัคฆ์ขาวจะคว้าชัยชนะก็มีมากขึ้น
หลิงฮันมองไปยังติงเซี่ยวเฉินด้วยสายตาเหยียดหยาม “ถ้าเจ้าไม่อยากจะสู้ก็ไสหัวไป อย่าได้มาขัดขวางพวกข้า! หากเป็นในสนามรบจริง คนเช่นเจ้าข้าตัดหัวทิ้งไปแล้ว!”
ติงเซี่ยวเฉินสบตาหลิงฮันแต่ก็ไม่กล้าเถียงตอบโต้ หลังจากถูกหลิงฮันทำให้อัปยศไปเมื่อครั้งก่อนทำให้เขารู้ว่าหลิงฮันไม่ใช่มีพลังที่เหนือกว่าเขาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความกล้าที่จะทุบตีเขาอย่างไม่ไว้หน้าอีกด้วย
เขาเมินเฉยหลิงฮันและกล่าวกับสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆ “ข้าทำเช่นนี้เพื่อพวกเจ้า! การปะทะนั้นยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องแพ้อยู่แล้ว ทำไมพวกเราต้องเอาตัวเองเข้าไปเจ็บด้วย?
“และข้าเองก็พอมีศิลาดวงดาวอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสนใจรึเปล่า?”
ประโยคท้ายคือการติดสินบนอย่างโจ่งแจ้ง
หลังจากได้ยินสิ่งที่ติงเซี่ยวเฉินกล่าว ผู้นำกลุ่มบางคนก็รู้สึกหวั่นไหวทันที แต่ก็มีบางคนที่ไม่หวั่นไหว อย่างเม่าซูอวี่นั้น นางแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดไม่สบอารมณ์ ในขณะที่เว่ยโปว ฉินเฮิ่นและหลัวซินหยางนั้นแสดงท่าทีไม่แยแส
“ไสหัวไป!” หลิงฮันเค้นเสียงคำรามราวกับฟ้าผ่า สีหน้าของติงเซี่ยวเฉินกลายเป็นซีดเผือดและมีโลหิตไหลออกมาจากรูทั้งเจ็ดบนใบหน้า
“พวกกองกำลังสำรองไร้ค่า พวกเจ้าจะยอมแพ้แต่โดยดีหรืออยากโดนพวกเราทุบตีจนต้องร้องไห้หามารดา?” กองกำลังพยัคฆ์ขาวล้อมพวกเขาเอาไว้ ทั้งสิบคนคือสมาชิกที่โดดเด่นที่สุดภายในกองกำลังพยัคฆ์ขาว แต่ละคนบรรลุเป็นราชาเซียนสูงสุดมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยล้านปี จำนวนดวงดาราของพวกเขามีมากมายจนยากจะจินตนาการถึง
หนึ่งในสมาชิกของกองกำลังพยัคฆ์ขาวมองมายังติงเซี่ยวเฉินและกล่าว “เซี่ยวเฉิน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ลุงยี่สิบเจ็ด ข้าไม่เป็นอะไรมาก!” ติงเซี่ยวเฉินเช็ดโลหิตบนใบหน้าก่อนจะกล่าว เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพียงแค่เสียงคำรามของหลิงฮันกลับทำให้เขาบาดเจ็บได้ ความแตกต่างระหว่างเขากับหลิงฮันมีมากขนาดไหนกันแน่?
คนที่ติงเซี่ยวเฉินเรียกว่าลุงยี่สิบเจ็ดนั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลติงที่มีชื่อว่าติงสวิน เขาคือจอมยุทธระดับราชาเซียนสูงสุดที่ควบแน่นดวงดาวสำเร็จแล้วเกินกว่ายี่สิบล้านดวง
แม้พรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของเขาจะไม่สูงเท่าติงเซี่ยวเฉิน แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเกิดมาก่อนหลายร้อยล้านปีทำให้เขามีพลังต่อสู้ที่สูงกว่า
ติงเซี่ยวเฉินคืออัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ทางตระกูลบ่มเพาะอย่างเอาใจใส่และมีโอกาสสูงมากที่ในอนาคตจะกลายเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานได้สำเร็จ เพราะงั้นไม่ว่าอย่างไรตระกูลติงก็ห้ามสูญเสียเขาไปเด็ดขาด
แต่ถึงอย่างนั้นรุ่นเยาว์ตรงหน้ากลับกล้าทำร้ายติงเซี่ยวเฉิน!
“รนหาที่ตาย!” ติงสวินเค้นเสียงเย็นชา ในเมื่อกองกำลังพยัคฆ์ขาวเป็นของตระกูลติง ต่อให้เขาจะไม่ได้มีพลังที่แข็งแกร่งที่สุดแต่เขาย่อมถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำกลุ่มการประลองครั้งนี้
กองกำลังพยัคฆ์ขาวทั้งสิบคนล้อมกลุ่มหลิงฮันเอาไว้และลงมือโจมตี ด้วยกลยุทธ์ผสานโจมตีที่ฝึกฝนมา พลังต่อสู้ของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามเท่า
นับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก!
หลายคนในกลุ่มหลิงฮันยกธงขาวยอมแพ้ทันที แต่ติงเซี่ยวเฉินกลับไม่ทำเช่นนั้น เขาแสร้งทำเป็นว่าต่อสู้ตอบโต้ในขณะที่จริงๆแล้วไม่มีใครจากกองกำลังพยัคฆ์ขาวที่ลงมือโจมตีเขา
“ฮึ่ม!” หลัวซินหยางลงมือ เกล็ดสีดำปรากฏขึ้นตามร่างกายของเขาและทำหน้าที่เป็นเกราะคุ้มกัน ด้วยพลังป้องกันอันแข็งแกร่งเขาจึงเปรียบเสมือนเป็นโล่ของกลุ่ม
ฉินเฮิ่นปลดปล่อยอำนาจแห่งความมืด ทักษะของนางไม่แบ่งแยกศัตรูหรือมิตร แม้แต่คนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันก็อาจจะได้รับบาดเจ็บได้
อู่จิงเคลื่อนที่ว่องไวราวกับสายฟ้า เพียงพริบตาเดียวเขาก็พุ่งทะยานไปไกลถึงเจ็ดฟึตและกวัดแกว่งดาบโจมตีอย่างรวดเร็ว
มีเพียงหลิงฮันคนเดียที่ยังคงยืนแน่นิ่งพาดมือเอาไว้ด้านหลัง
‘ฉึบ ฉึบ ฉึบ’ หอกแหลมหกแท่งทิ่งทะลวงเข้าใส่เขา หอกแต่ละเล่มถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบ ปลายหอกส่องประกายแหลมคมและปลดปล่อยออร่าอันเย็นยะเยือก
หลิงฮันปล่อยหมัดตอบโต้ ‘ปัง ปัง ปัง’ หมัดเปล่าของเขาปะทะเข้ากับปลายหอกที่พุ่งเข้ามาจนเกิดเป็นกระกายเหมือนโลหะเข้ากระทบกัน ทุกครั้งที่หมัดของเขาถูกปล่อยออกไป ปลายหอกจะบุบงอทันที หลังจากผ่านไปหกหมัด หอกแหลมทั้งหกก็ถูกเปลี่ยนเป็นแท่งเหล็กหกแท่ง
นี่มัน!
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เหล่าทหารของกองกำลังธุลีจันรทราทุกคนที่มองดูอยู่ก็ขนลุกไปทั่วร่างกาย
กายหยาบนั่นมันอะไรกัน!
ไม่ใช่แค่ต้านทานอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงได้ด้วยมือเปล่าอย่างเดียว แต่ยังทำให้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นบิดเบี้ยวผิดรูปร่างได้ด้วย!
สัตว์ประหลาด! สัตว์ประหลาดไม่ผิดแน่!
บนลานที่นั่งอันสูงลิบ ปรมาจารย์ระดับนิรันดร์ของตระกูลต้วนและตระกูลล้งลืมตามองหลิงฮันพร้อมกัน
ผู้ฝึกสอนกองกำลังสำรองทั้งสิบเป็นคนของสามตระกูลใหญ่ แน่นอนว่าพวกเยาย่อมได้รับการรายงานเรื่องที่ว่ามีอัจฉริยะศักยภาพสามดาวครึ่งปรากฏตัว
ทั้งสองตระกูลเตรียมแผนการเชิญชวนให้หลิงฮันเข้าร่วมกับพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งเรื่องที่ติงหู่ถูกโยกย้ายส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขา ไม่เช่นนั้นต่อให้เม่าไต้จะเป็นผู้ปกครองสูงสุดของกองกำลังธุลีจันรทรา หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาคำสั่งโยกย้ายก็ไม่สามารถเรียกใช้ได้รวดเร็วเช่นนั้น
แต่เมื่อได้เห็นพลังของหลิงฮันด้วยตาตัวเอง พวกเขาก็ได้เข้าใจทันทีว่าพวกเขาประเมินพรสวรรค์ของหลิงฮันต่ำเกินไป
ทั้งสองล้มเลิกแผนการที่คิดไว้ รุ่นเยาว์ผู้นี้คู่ควรแก่การทุ่มหมดหน้าตักเพื่อให้ได้มาอยู่ฝั่งเดียวกัน
เหอๆ ตระกูลติงช่างน่าขันยิ่งนัก ไม่เพียงแค่ไม่วางแผนรับราชารุ่นเยาว์เช่นนี้เข้าตระกูลแต่ยังตั้งตนเป็นศัตรูอีกด้วย ช่างโง่เขา! แต่ก็ดี ในเมื่อตระกูลติงทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นไป คู่แข่งที่จะแย่งตัวหลิงฮันจึงลดลง
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องระมัดระวังการกระทำของตระกูลติงเอาไว้ให้ดี ต่อให้เป็นอัจฉริยะเพียงใดจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งก็ยังอ่อนแอเกินไป หากตัวตนระดับโลกียนิพพานลงมือ วิธีจะจัดการจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งก็มีอยู่นับหมื่น
ในลานประลอง กองกำลังพยัคฆ์ขาวทั้งสิบคนกำลังหวาดกลัวในพลังที่น่าสะพรึงของหลิงฮัน นี่พวกเขาอยู่ในการประลองคัดเลือกจริงๆ? ในหมู่พวกเขามีคนส่วนหนึ่งที่เคยเป็นตัวแทนเมืองธุลีจันรทราไปเข้าร่วมการประลองยุทธในนิกายจันทราหม่นแสงมาก่อน พวกเขาจึงพอจะคาดเดาได้ว่าพลังต่อสู้ของหลิงฮันนั้นอาจจะจะเทียบเคียงกับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของนิกายจันทราหม่นแสง
แววตาของติงสวินส่องประกายโหดเหี้ยม เขามองไปยังติงเซี่ยวเฉินและพยักหน้าให้กัน