คลื่นน้ำกระทบเข้ากับเรือเป็นระยะส่งผลให้เรือสั่นโคลงเคลงไปมา แม้แต่เม่าซูอวี่และพวกเว่ยโปวที่เป็นจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดก็ยังรู้สึกเวียนหัวอยากจะอาเจียนออกมา
หลิงฮันกับจักรพรรดินีไม่เป็นอะไร พวกเขาปิดประตูห้องและเข้าไปหลบซ่อนในหอคอยทมิฬ คลื่นน้ำจึงไม่ส่งผลใดๆต่อพวกเขา
อีกคนที่ไม่สุงสิงกับใครเลยคือติงเซี่ยวเฉิน
ไม่เพียงแต่เขาจะพ่ายแพ้หลิงฮันติดต่อกัน แต่ยังได้รับความอัปยศต่อหน้าผู้คนบนลานประลองอีกด้วย จะให้เขามีหน้าไปพบใครได้อย่างไร? เพียงแต่ติงเซี่ยวเฉินก็ถือว่าหน้าหนาไม่น้อยที่ยังกล้าเสนอหน้าตามมาด้วยแบบนี้
สำหรับเขาแล้ว การได้ไปเมืองจันทราหม่นแสงซึ่งเป็นเมืองสองดาวคือวาสนาครั้งใหญ่!
หากโชคดีมีปรมาจารย์ระดับแบ่งแยกวิญญาณถูกใจเขาขึ้นมาแล้วเสนอให้เข้าร่วมตระกูลด้วยหรือรับเป็นศิษย์ล่ะ? ไม่ใช่ว่านั่นจะเป็นวาสนาอันใหญ่โตเลยหรอกรึ? ด้วยพรสวรรค์ของเขา บางทีวความสำเร็จสูงสุดในชีวิตอาจจะเป็นระดับโลกียนิพพานสามนิพพาน แต่หากได้รับการสนับสนุนจากปรมาจารย์ระดับนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่จะบรรลุเป็นนิรันดร์สี่นิพพาน
ความต่างระหว่างหนึ่งนิพพานนั้น สามารถทำให้เขาต้านทานบาปเคราะห์แห่งสวรรค์ได้หลายครั้งและมีอายุขัยเพิ่มขึ้นหมื่นล้านปี
เพราะงั้นต่อให้ติงเซี่ยวเฉินจะถูกสมาชิกกลุ่มมองด้วยสายตาเหยียดหยาม แต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือ
เรือแล่นผ่านแม่น้ำมหึมาด้วยความเร็วที่เทียบได้กับความเร็วสูงสุดของหลิงฮัน หากยังคงเคลื่อนที่เร็วต่อไปเช่นนี้ไม่หยุดพักคงถึงเมืองจันทราหม่นแสงในหนึ่งเดือน แต่เรือลำนี้ไม่ได้ถูกทำมาเพื่อรับส่งพวกหลิงฮันเพียงกลุ่มเดียวแต่ยังต้องทำหน้าที่ขนส่งสินค้าอีกด้วย
หลังจากมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง สินค้ามากมายก็ถูกขนออกจากตัวเรือและมุ่งหน้าต่อไปยังเมืองถัดไป
เพราะต้องลำเลียงสินค้าระหว่างทาง ระยะเวลาที่จะถึงในหนึ่งเดือนจึงขยายเป็นสองเดือน
หลิงฮันเก็บตัวฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ใต้ต้นสังสารวัฏ
ในดินแดนแห่งเซียนมีพลังวิญญาณที่หนาแน่น อย่างน้อยก็ก่อนจะบรรลุเป็นนิรันดร์ จอมยุทธทุกคนย่อมสามารถบ่มเพาะพลังและฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์
ยิ่งมีต้นสังสารวัฏด้วยแล้ว หลิงฮันจึงไม่ต่างอะไรจากเสือติดปีก หลังจากบ่มเพาะพลังไม่กี่วันในดินแดนแห่งเซียนพลังของเขาก็บรรลุเป็นเซียนระดับสูงขั้นสูงสุด เหลือแค่สะสมพลังปราณอีกเล็กน้อยและขัดเกลารากฐานพลังบ่มเพาะให้ดี เขาจะก็สามารถทะลวงผ่านเป็นราชาเซียน
เมื่อถึงตอนนั้นเขาเชื่อว่าต่อให้คู่ต่อสู้จะเป็นทายาทของขุมอำนาจยักษ์ใหญ่เขาก็สามารถกำราบอีกฝ่ายได้ในระดับพลังเดียวกัน
เขายังคงดูดซับหยดสายฟ้าสวรรค์อย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของตนเอง
แน่นอนว่าเขาเหลือส่วนแบ่งไว้ให้จักรพรรดินีและคนอื่นๆด้วย แต่เพราะปัญหาเรื่องกายหยาบที่ไม่แข็งแกร่งพอ คนอื่นๆนอกจากเขาจึงดูดซับหยดสายฟ้าสวรรค์ได้หลังจากทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแล้วเท่านั้น
ยิ่งความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของเขาเพิ่มสูงขึ้น พลังทำลายของทักษะอัสนีบาตชำระล้างโลกาก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม ส่วนทักษะแสงอัสนีนั้นไม่มีการพัฒนาใดๆ แต่กลับกันเขาดันได้ทักษะอื่นเพิ่มขึ้นมาแทน หลิงฮันเรียกมันว่าก้อนแสงอัสนีทำลายล้าง
ทักษะนี้ทำให้เขาสามารถสร้างก้อนสายฟ้าขึ้นมาได้ ทันทีที่ก้อนสายฟ้าระเบิดออกมันจะก่อให้เกิดคลื่นพลังทำลายที่น่าสะพรึงกลัวและบดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่รอยข้างตัวเขาโดยสนว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู
เพียงแต่หากต้องการใช้ทักษะนี้จำเป็นต้องรวบรวมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีให้ถึงจุดนึงเสียก่อน ยิ่งรวบรวมเป็นเวลานานอำนาจของทักษะก็จะยิ่งทรงพลัง แต่แน่นอนว่าทักษะเองก็มีขีดจำกัดของมัน เมื่ออำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีถูกรวบรวมจนถึงขีดจำกัด ก้อนอัสนีจะระเบิดออกทันที
ในแง่ของความเร็วในการบ่มเพาะพลังนั้น จักรพรรดินีนำเขาไปก้าวหนึ่ง บางทีนางอาจจะทะลวงผ่านเป็นราชาเซียนได้ก่อนเขา
สองเดือนต่อมา และแล้วเรือก็แล่นมาถึงเมืองจันทราหม่นแสงอย่างปลอดภัย
หลิงฮันยืนอยู่ที่หัวเรือจ้องมองเมืองขนาดใหญ่ค่อยๆปรากฏเบื้องหน้า ซึ่งเขาก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากเนื่องจากพบว่าเมืองขนาดใหญ่นั้นกำลังลอยอยู่กลางอากาศ!
เมืองจันทราหม่นแสงลอยอยู่กลางอากาศในขณะเบื้องล่างมีเมืองอีกเมืองหนึ่งตั้งอยู่ เมืองเบื้องล่างมีขนาดใหญ่เทียบเท่าได้กับเมืองธุลีจันรทรา แต่เมื่อเทียบกับเมืองจันทราหม่นแสงที่ลอยอยู่ก็นับว่ายังห่างชั้น เมืองเบื้องล่างนี้คือเมืองย่อยของเมืองจันทราหม่นแสง โดยปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นขบวนพ่อค้าหรือนักเดินทางต่างก็ต้องเข้าสู่เมืองย่อยก่อนเป็นอันดับแรก มีเพียงหลังจากได้รับอนุญาติเป็นพิเศษแล้วเท่านั้นถึงจะไปยังเมืองหลักได้
เมืองรองไม่มีกฎอะไรมากมาย แค่มีเงินก็สามารถพักอาศัย กินดื่ม หรือทำอะไรได้แทบทุกอย่าง แน่นอนว่าเงินตราที่ใช้กันนั้นไม่ใช่เหรียญทองแต่เป็นศิลาดวงดาว
สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำคือหาโรงเตี๊ยมเพื่อเป็นที่พัก ต่อให้พวกเขามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประลองก็ต้องทำเรื่องรายงานขออนุญาติเข้าเมืองหลักอยู่ดี
และไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ออกไปเดินเตร็ดเตร่ก็ไม่เสียหาย
แม้จะเป็นเพียงเมืองย่อย แต่อาหารและสิ่งต่างๆก็ยอดเยี่ยมกว่าเมืองธุลีจันรทรา ยกตัวอย่างเช่น ตราบใดที่มีเงินมากพอ แม้กระทั่งเนื้อของสัตว์อสูรนิรันดร์ก็สามารถหาซื้อกินได้!
หลิงฮันอยากจะลองชิมรสชาติของเนื้อสัตว์อสูรนิรันดร์เช่นกัน แต่หลังจากรับรู้ถึงราคาของมัน เขาก็ล้มเลิกความคิดทันที
เนื้อสัตว์อสูรนิรันดร์หนึ่งจานมีมูลค่าถึงสองหมื่นศิลาดวงดาว แถมในจานยังมีเนื้อบางๆอยู่เพียงเจ็ดถึงแปดชิ้นเท่านั้น การกินเนื้อของสัตว์อสูรนิรันดร์สามารถช่วยสะสมปราณก่อเกิดได้อย่างมหาศาลหรืออาจจะได้รับเศษเสี้ยวแห่งเต๋าที่ช่วยให้เข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์กระจ่างแท้ยิ่งขึ้น แต่ด้วยราคาที่สูงขนาดนี้ คนที่ซื้อได้จะมีกี่คนกัน?
ต่อให้นิรันดร์เพียงคนเดียวของกลุ่มพวกเขาอย่างล้งเกาเฟยก็มีรายได้เพียงหนึ่งร้อยศิลาดวงดาวต่อปีเท่านั้น หากจะซื้อเนื้อสัตว์อสูรนิรันดร์ได้ เขาต้องเก็บออมถึงสองร้อยปี
ลืมมันไปแล้วกัน เอาไว้เมื่อมีเงินค่อยกลับมาใหม่
“โอ้ แม่นางผู้นั้นช่างทรงเสน่ห์ยิ่งนัก!” เมื่อหลิงฮันและจักรพรรดิกำลังจะเดินออกจากร้ายเนื้อสัตว์อสูร เสียงที่มากด้วยตัณหาก็ดังมาจากด้านหลังพวกเขา เจ้าของเสียงที่ว่าคือชายหนุ่มที่รูปลักษณ์อยู่ในช่วงอายุยี่สิบปี
“ถอดผ้าคลุมหน้าออก หากความงามของเจ้าทำให้ข้าพึงพอใจ ข้าจะซื้อเนื้อสัตว์อสูรนิรันดร์ให้เจ้า”
จักรพรรดินีชำเลืองมองไปที่อีกฝ่ายและสะบัดนิ้วเพื่อบ่งบอกว่าไสหัวไป ข้าคร้านจะพูดคคุยกับคนเช่นเจ้า
ชายหนุ่มดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นมืออันเรียวงามของจักรพรรดินี เขาทนไม่ไหวและเอื้อมมือออกมาหวังคว้าจับมือของนาง “แม่นาง ขอข้าสัมผัสมือของเจ้าหน่อย จะบอกให้ว่าวิชาทำนายดวงจากการสัมผัสมือของข้าน่ะแม่นไม่เป็นสองรองใคร”
คิ้วของจักรพรรดินีขมวดเข้าหากันและผลักฝ่ามือออกไป ชายผู้นั้นลอยกระเด็นกลิ้งเป็นลูกบอล ร่างของเขากระแทกอัดเข้าใส่กำแพงและสลบเหมือดไปทันที
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไปที่อื่นกันเถอะ”
พวกเขาไม่เก็บเหตุการณ์นี้มาคิดว่าเนื่องจากคิดว่าชายหนุ่มผู้นั้นไม่มีทางเป็นทายาทของตระกูลที่ทรงอำนาจในเมืองจันทราหม่นแสง เพราะไม่งั้นแล้วเขาคงไม่มาอยู่ในเมืองย่อยเบื้องล่างนี้ ที่เป็นไปได้มากที่สุดคืออีกฝ่ายก็เป็นรุ่นเยาว์ที่ติดตามผู้อาวุโสมาเข้าร่วมการประลองเช่นเดียวกันกับพวกเขา