ดาบสยบมารอสูรไม่ใช่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นทักษะยุทธ จากที่เล่าลือกันนั้น จ่างซุนเหลียงได้รับทักษะนี้มาจากซากโบราณสถาน
ผู้ที่สามารถฝึกฝนทักษะนี้ได้มีเพียงเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น เนื่องจากในขณะที่กำลังสำรวจซากโบราณสถานอยู่ ดวงวิญญาณของเขาได้ถูกผสานรวมเข้ากับวัตถุโบราณบางอย่าง ความลึกลับที่เกิดขึ้นนี้แม้แต่เหล่าตัวตนระดับสูงของนิกายจันทราหม่นแสงก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้
เมื่อทักษะนี้ถูกโคจรใช้งาน มนุษย์ตัวเล็กถือดาบจะปรากฏตัวออกมาจากบริเวณกลางหน้าผากของจ่างซุนเหลียง
มนุษย์ตัวเล็กที่ปรากฏออกมานั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก ตราบใดที่ถูกดาบของมันสะบั้นเข้าใส่ ดวงวิญญาณจะถูกส่งไปยังปรโลกทันที!
เพียงแค่ทักษะดาบสยบมารอสูรถูกใช้ออกมา ทุกคนรอบข้างก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย พวกเขารู้สึกราวกับว่าดวงวิญญาณของตนเองถูกมีดจ่อเอาไว้และสามารถถูกสังหารได้ตลอดเวลา แม้ทุกคนจะโคจรปราณก่อเกิดสร้างโล่คุ้มกันเอาไว้แล้วก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย พวกเขาอยากจะติดตั้งรูปแบบอาคมมันเสียตรงนี้เลย
จ่างซุนเหลียงลงมือโจมตีหลิงฮันในขณะที่มนุษย์ตัวเล็กเองก็สะบั้นดาบออกมาพร้อมๆกัน
หลิงฮันเอื้อมมือออกมาปลดปล่อยทักษะรัตติกาลเงาทมิฬ ความมืดมิดอันเป็นอนันต์สามารถกักขังจ่างซุนเหลียงเอาไว้ได้
‘พรึบ’ แต่กับมนุษย์ตัวเล็กกลับไม่มีผล มันพุ่งทะลุความมืดมิดออกมาและกวัดแกว่งดาบเข้าหาหลิงฮัน
หลิงฮันปล่อยหมัดตอบโต้แต่ก็ไม่ส่งผลใดๆต่อมนุษย์ตัวเล็กแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่ามนุษย์ตัวเล็กตรงหน้านี้จะเป็นเพียงร่างวิญญาณเท่านั้น มันจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการโจมตีทางกายภาพ
หลิงฮันเผยรอยยิ้ม หากจะวัดกันในด้านความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณ เขาเองก็มั่นใจว่าไม่แพ้ใคร!
‘พรึบ’ ประกายสายฟ้าค่อยๆหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขา
หลิงฮันดูดซับหยดสายฟ้าสวรรค์เข้าไปมากมาย ซึ่งภายใต้ระดับนิรันดร์อำนาจจากหยดสายฟ้าสวรรค์ถือว่าเป็นพลังงานที่ทรงพลังที่สุด หยดสายฟ้าสวรรค์ที่เขาดูดซับเข้าสู่ร่างกายไม่เพียงช่วยทำให้รู้แจ้งถึงอำนาจกฎเกณฑ์อัสนีแต่ยังช่วยขัดเกลาดวงวิญญาณของตัวเขาด้วย
ตอนนี้ดวงวิญญาณของเขาเองก็ถือครองอำนาจแห่งทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
จงออกมา!
หลิงฮันคำรามในใจ พลังวิญญาณของเขาค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นมนุษย์ขนาดเล็กที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับเขาไม่ผิดเพี้ยน มนุษย์ดวงวิญญาณขนาดเล็กของเขากวัดแกว่งหมัดเข้าปะทะกับดาบของมนุษย์ตัวเล็กของจ่างซุนเหลียง
ตูม! ตูม! ตูม!
มนุษย์จิ๋วทั้งสองสามารถโจมตีโดนซึ่งกันและกันได้เนื่องจากพวกมันเป็นดวงวิญญาณเหมือนกัน การปะทะด้วยดวงวิญญาณถือเป็นการปะทะที่อันตรายกว่าการปะทะรูปแบบปรกติ ต่อให้มนุษย์จิ๋วทั้งสองจะไม่ใช้ดวงวิญญาณที่สมบูรณ์ของหลิงฮันและจ่างซุนเหลียง แต่หากมนุษย์จิ๋วทั้งสองได้รับบาดเจ็บ พวกเขาเองก็จะได้รับบาดเจ็บไปด้วยเช่นกัน
จ่างซุนเหลียงคำรามเสียงดังพร้อมกับทะลวงออกมาจากความมืดมิดได้สำเร็จ ราชารุ่นเยาว์ที่จะปรากฏตัวเพียงในรอบหมื่นแสนล้านปีเช่นเขาจะถูกกักขังง่ายๆได้อย่างไร?
หลิงฮันพุ่งทะยานเข้าปะทะกับจ่างซุนเหลียง
แม้พวกเขาจะปะทะกันเองแค่สองคน แต่การต่อสู้กลับดำเนินไปด้วยการห้ำหั่นของร่างสี่ร่าง
ผู้คนที่มองดูอยู่หวาดผวาจนขนลุก ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับลูกหลงจากการโจมตีของหลิงฮันกับจ่างซุนเหลียง หรือได้รับลูกหลงจากการโจมตีของมนุษย์ตัวเล็กทั้งสอง พวกเขาก็ไม่อาจหนีพ้นความตายไปได้และแม้แต่ดวงวิญญาณก็คงถูกบดขยี้ไม่มีเหลือ
ทุกคนล้วนแต่คิดเหมือนกันว่า หากลองเปลี่ยนให้พวกเขาลงไปประลองแทน พวกเขาคงถูกสังหารไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
หลิงฮันและจ่างซุนเหลียงต่างมีพลังต่อสู้ที่ไร้เทียมทานด้วยกันทั้งคู่
หลิงฮันนั้นสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองของโลกบรรพกาลได้ เพราะงั้นอย่างน้อยในระดับสร้างสรรพสิ่งตัวเขาย่อมไม่อ่อนกว่าใคร หลิงฮันได้เปรียบจ่างซุนเหลียงในเรื่องนี้ ทางด้านของจ่างซุนเหลียงนั้น เขาเองก็ได้ขัดเกลารากฐานของระดับสร้างสรรพสิ่งมาเป็นเวลานานและควบแน่นจำนวนของดวงดาราได้สำเร็จไม่รู้กว่ากี่ล้านดวงแล้ว ในเรื่องนี้เขาจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบหลิงฮัน
การปะทะของทั้งสองไม่กินเวลานานนักเนื่องจากคนอื่นๆจะได้รับลูกหลงไปด้วย
เวลาผ่านไปเพียงราวๆครึ่งชั่วโมงทั้งสองคนกระโดดถอยเว้นระยะห่างจากกัน
แม้การปะทะของตัวพวกเขาเองจะยังไม่สามารถตัดสินกันได้ แต่มนุษย์ดวงวิญญาณของพวกเขาได้รับบาดเจ็บ มนุษย์วิญญาณของหลิงฮันถูกดาบสะบั้นใส่ ในขณะที่มนุษย์วิญญาณของจ่างซุนเหลียงถูกหมัดกระหน่ำซัด
ใบหน้าของจ่างซุนเหลียงเปลี่ยนเป็นซีดขาวและกระอักโลหิตออกมา ท่าทางของเขาทรมานเป็นอย่างมาก
หลิงฮันร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย ดวงวิญญาณของเขาถูกขัดเกลาด้วยด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์จึงสามารถต้านทานความเสียหายทางวิญญาณได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่เนื่องจากตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเป็นมิตรกับจ่างซุนเหลียง เขาจึงตั้งใจจะไว้หน้าอีกฝ่ายและฝืนกระอักโลหิตออกมาและทำสีหน้ามืดมน
“เอาเป็นว่าการประลองนี้พวกเขาเสมอกันเป็นอย่างไร?” จ่างซุนเหลียงกล่าวกับหลิงฮัน ความจริงแม้เขาจะยังมีไพ่ลับเก็บซ่อนเอาไว้อยู่ แต่ไพ่ลับเช่นนั้นย่อมต้องเก็บไว้ใช้ในช่วงวิกฤตเป็นตาย ยิ่งกว่านั้นเขาเองก็รู้สึกถูกใจหลิงฮันขึ้นมาแล้วด้วย การประลองนี้จะแพ้หรือชนะย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “อืม!”
จ่างซุนเหลียงก้าวเดินเข้ามากอดไหล่หลิงฮันและกล่าว “ไปฉลองกันเถอะ!”
ทั้งสองคนหัวเราะและเดินกลับเข้าห้องโถง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนรอบข้างมึนงง เมื่อครู่พวกเจ้าเพิ่งสู้กันราวกับจะฆ่าแกงกันอยู่เลยแท้ๆ เหตุใดตอนนี้ถึงได้หันมากอดไหล่กันราวกับมิตรสหายเช่นนี้?
พวกเขาไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าราชาที่แท้จริงนั้นโดดเดี่ยวและหาคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันที่สมน้ำสมเนื้อได้ยากขนาดไหน ตอนนี้ในที่สุดทั้งสองคนก็ได้พบคนที่เทียบชั้นกับตนเองได้เสียที แล้วจะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร?
จักรพรรดินีเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ บุรุษผู้นี้คิดจะแย่งสามีของนาง?
นางรีบก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว จ่างซุนเหลียงที่รู้สึกตัวว่าจักรพรรดินีเดินเข้ามาก็หันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอโทษน้องสะใภ้ที่เมื่อครู่ข้าทำตัวเสียมารยาท ถ้าเจ้าไม่พอใจล่ะก็เชิญ…”
พรึบ!
จักรพรรดินีไม่รอให้จ่างซุนเหลียงพูดจบ นางคว้าร่างของอีกฝ่ายเหวี่ยงลอยกระเด็นทันทีและนำมือของหลิงฮันมาโอบเอวนางเอาไว้ราวกับจะบอกให้ทุกคนรับรู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นของนาง
แต่การกระทำของนางก็ได้ทำให้ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้าง สตรีผู้นี้ทรงพลังขนาดไหนกัน?
แม้จ่างซุนเหลียงจะบาดเจ็บอยู่ก็ไม่สมควรถูกจับเหวี่ยงได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น
สตรีลึกลับผู้นี้คือจอมยุทธที่ทรงพลังที่สุดภายใต้ระดับโลกียนิพพานอย่างแท้จริง!
สำหรับเรื่องนี้หลิงฮันเองก็เห็นด้วย ด้วยพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ต่อให้พึ่งพากายหยาบอันไร้เทียมทาน อย่างมากเขาก็ทำได้แค่เสมอกับจักรพรรดินีเท่านั้น แต่เมื่อใดที่เขาบรรลุสู่ระดับราชาเซียน เขามั่นใจว่าต่อให้จักรพรรดินีกับจ่างซุนเหลียงร่วมมือกันเขาก็ยังสามารถเอาชนะทั้งสองคนได้
จ่างซุนเหลียงกัดฟันพยุงตัวลุกขึ้นยืนและยิ้มแห้งโดยไม่รู้สึกโมโหอะไร