ล้งเกาเฟยใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดมน กล้าทำลายประตูที่พักของพวกเขางั้นรึ?
เจ้าไม่รู้รึไงว่ารัชทายาทอยู่ที่นี่? หากเจ้าบุกมาทำตัวเสียมารยาทกับรัชทายาท ใครจะรับผิดชอบ?
“ช่างกล้า!” เขาคำราม
ชายชราที่พังประตูเข้ามาหันมองล้งเกาเฟยและกล่าวอย่างโหดเหี้ยม “เรียกตัวบัดซบหลิงฮันออกมาเดี๋ยวนี้!”
ใบหน้าล้งเกาเฟยเผยชะงัก
ก่อนหน้านี้เขาอุตส่าห์ย้ำเตือนหลิงฮันให้ทำตัวไม่โดดเด่นและอย่าสร้างปัญหาแท้ๆ การที่อีกฝ่ายตีสนิทกับรัชทายาทได้นั้นเป็นเรื่องดี แต่ดูจากจิตสังหารของชายชราที่ปรากฏตัวผู้นี้แล้ว คงไม่ได้มาเมื่อชวนหลิงฮันดื่มชาแน่นอน
นอกจากนั้นผู้บุกรุกคนนี้เองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก!
ขมวดคิ้วและกล่าว “นิรันดร์สองนิพพาน?”
ชายชราเผยสีหน้าภาคภูมิใจ “ข้าคือถงจินหยุนแห่งตระกูลถง!”
ตระกูลถงได้รับรู้เรื่องราวแท้จริงจากปากของหลิวมู่อวี่แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก ถงหลินต้องมาตายอย่างไร้ความยุติธรรม แถมปรมาจารย์สี่นิพพานของตระกูลถงยังต้องก้มหัวขอโทษผู้อื่นทั้งๆที่ไม่ผิด
ต่อให้ผู้ที่ก้มหัวให้จะเป็นรัชทายาทอย่างจ่างซุนเหลียง พวกเขาก็ยังรู้สึกอัปยศอยู่ดี
เพราะเห็นแก่ความปลอดภัยของตระกูล ประมุขตระกูลถงถึงขนาดยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่าเหตุการณ์ทั้งหมดถูกใครบางคนวางแผนเอาไว้!
จอมยุทธตัวจ้อยจากเมืองหนึ่งดาวกล้าสังหารคนของตระกูลถง? เพื่อสะสางความแค้นถงจินหยุนถึงได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง
เขาคือปรมาจารย์สองนิพพานที่แข็งแกร่งพอจะกดขี่ล้งเกาเฟยได้
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสถง!” ล้งเกาเฟยผสานมือคารวะ แม้อีกฝ่ายจะเป็นขุมอำนาจสี่นิพพานเหมือนกันแต่ยืนอยู่ในสถานะที่ต่างกัน
“ไม่ต้องพูดพล่ามเสียเวลา ให้หลิงฮันโผล่หน้ามาเดี๋ยวนี้!” ถงจินหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม วันนี้เขาจะสังหารหลิงฮันเพื่อประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่าตระกูลถงไม่ใช่ขุมอำนาจที่ใครจะล่วงเกินได้
ล้งเกาเฟยยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ “ตอนนี้หลิงฮันกำลังต้อนรับแขกคนสำคัญอยู่ เกรงว่าเขาคงไม่สะดวกออกมาพบผู้อาวุโส”
โอ้?
ดวงตาของถงจินหยุนส่องประกายเย็นชา
น่าขันยิ่งนัก จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งตัวจ้อยจะมีแขกที่สำคัญขนาดไหนมาพบกันเชียว? จะบอกว่าแขกคนนั้นยิ่งใหญ่ไปกว่าข้างั้นรึ?
“เจ้ากำลังดูถูกข้า?” ถงจินหยุนกล่าวพร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันที่หนักหน่วงราวกับขุนเขา
แรงกดดันจากสายตาของถงจินหยุนนั้นแม้จะสามารถทำให้จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งขาอ่อนไร้เรี่ยวแรงได้ แต่ไม่ใช่กับล้งเกาเฟยที่เป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพาน ต่อให้เขาจะต่อกรกับถงจินหยุนไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกหวั่นเกรงต่อแรงกดดันของอีกฝ่าย
เขายิ้มและกล่าวตอบ “ข้าไม่กล้า! หลิงฮันกำลังต้อนรับแขกคนสำคัญอยู่จริง”
“ฮึ่ม งั้นก็ขอข้าดูหน่อยแล้วกันว่าแขกที่ว่าจะสำคัญขนาดไหน!” ถงจินหยุนไม่สบอารมณ์และเกิดความคิดที่จะจัดการแขกคนสำคัญที่ว่าไปพร้อมๆกันด้วยเลย
ไม่ว่าสำหรับพวกหลิงฮันแขกที่ว่าจะสำคัญแค่ไหน แต่สำหรับเขาแขกที่ว่าก็เป็นเพียงขยะ
เขาก้าวเดินเข้าที่พักไปอย่างเกรี้ยวกราด ล้งเกาเฟยไม่กล้าห้ามปรามและทำได้เพียงเดินตามไป
ปัง!
ถงจินหยุนไม่เอ่ยถามล้งเกาเฟยแม้แต่คำเดียวว่าห้องของหลิงฮันคือห้องไหนและทำการถีบเปิดประตูทีละห้อง
เว่ยโปวที่อยู่ในห้องแรกเผยสีหน้านิ่งเฉย
ห้องที่สอง ฉินเฮิ่นก็ยังเผยสีหน้านิ่งเฉย
ห้องที่สาม…
ทุกคนในที่พักล้วนได้ยินบทสนทนาทั้งหมดจากด้านนอก พวกเขาจึงเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เมื่อมาถึงห้องที่หก ติงเซี่ยวเฉินที่นั่งอยู่ก็เผยสีหน้ามืดมน เขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง ที่จริงตัวเขาเป็นศัตรูกับหลิงฮันเสียด้วยซ้ำ
เขาได้แต่ภาวนาในใจหวังให้หลิงฮันถูกถงจินหยุนผู้นี้ทุบตีจนตาย
ตอนนี้เหลือเพียงห้องสุดท้ายห้องเดียว ‘ปัง’ ประตูถูกถีบจนเปิดออกและปรากฏร่างสามร่างในห้อง สองเป็นบุรุษหนึ่งเป็นสตรี ทั้งสามกำลังหันหน้าเข้าหากันเพื่อจิบชาและพูดคุยอะไรบางอย่าง
ยังกล้าทำตัวสงบนิ่งอยู่อีก!
ถงจินหยุนเค้นเสียงกล่าวอย่างเย็นชา “แขกคนสำคัญงั้นรึ? หันหน้ามาให้ข้าเห็นหน่อยเป็นไง?”
จ่างซุนเหลียงค่อยๆหันหลังและจ้องมองถงจินหยุนด้วยสีหน้าไม่แยแส
“ระ รัชทายาท!” ถงจินหยุนอุทานออกมาทันที สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนหลายสีอย่างคาดไม่ถึงว่าสีหน้าของมนุษย์เราจะเปลี่ยนสีได้มากมายขนาดนี้
จ่างซุนเหลียงยิ้มและกล่าว “ข้าหันมาให้เจ้าเห็นแล้วนี่ไง จะทำอะไรต่อล่ะ?”
ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง แต่ด้วยสถานะของเขาในนิกายจันทราหม่นแสงทำให้ปรมาจารย์หลายคนไม่กล้าแตะต้องเขาแม้แต่ปลายนิ้ว
หากจ่างซุนเหลียงได้รับบาดเจ็บแล้วหนึ่งในผู้อาวุโสระดับแบ่งแยกวิญญาณลงมือล่ะก็ ตระกูลถงคงหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ในพริบตา ถงจินหยุนรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนเองเป็นอย่างยิ่ง ใครจะไปคิดว่าแขกคนสำคัญจะเป็นจ่างซุนเหลียง?
เหตุใดจอมยุทธตัวจ้อยจากเมืองหนึ่งดาวถึงได้สร้างสายสัมพันธ์กับรัชทายาทของนิกายจันทราหม่นแสงได้?
เหนือสิ่งอื่นใดคือจ่างซุนเหลียงเป็นฝ่ายมาหาหลิงฮันด้วยตัวเองด้วย
“ข้าไม่รู้ว่ารัชทายาทอยู่ที่นี่ ห่างข้าล่วงเกินอันใดไป รัชทายาทโปรดให้อภัย!” ถงจินหยุนทำได้เพียงกล่าวขออภัย ในกรณีที่จ่างซุนเหลียงต้องการจะจัดการตระกูลถงจริงๆ ต่อให้ตระกูลถงจะเป็นคนของนิกายจันทราหม่นแสงเหมือนกันก็ไม่ได้ช่วยอะไร
จ่างซุนเหลียงกล่าว “หากข้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าตนเองสามารถทำลายประตูที่นี่ได้ตามใจชอบ? นิรันดร์ตระกูลถง เจ้าควรรู้ไว้ว่าที่แห่งนี้คือสถานที่ต้องห้ามที่ตระกูลถงของเจ้าไม่อาจย่างกราย!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันหนักแน่นของจ่างซุนเหลียง ถงจินหยุนก็หวาดกลัวจนต้องคุกเข่าลงด้วยสีหน้าซีดเผือด
หากจ่างซุนเหลียงต้องการเอาความจริงๆ เหตุการณ์ในวันนี้จะไม่ใช่ความบาดหมางระหว่างเขากับจ่างซุนเหลียง แต่จะเกี่ยวพันไปถึงตระกูลถงด้วย!
“รัชทายาทโปรดยกโทษให้ข้า!”
จ่างซุนเหลียงไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดใดๆ เขายังคงสงบนิ่งและควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ดี “ในเมื่อเจ้าถีบทำลายประตูของที่นี่ เจ้าก็ต้องซ่อมพวกมันทั้งหมดเอง หวังว่าเจ้าจะไม่ขัดข้อง?”
“ไม่แน่นอน ชายชราผู้นี้ย่อมไม่ขัดข้องคำสั่งของรัชทายาท!” ถงจินหยุนรีบก้มหัว
หลิงฮันเดาะลิ้นทำเสียงในปาก หรือต่อจากนี้เขาจะนำชื่อของรัชทายาทไปใช้เพื่อทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวดี?
“งั้นก็รีบไปทำ” จ่างซุนเหลียงสะบัดมือ
ถงจินหยุนรีบลุกขึ้นยืนและวิ่งไปซ่อมประตูอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นชายชราที่เป็นคนพังประตูกำลังซ่อมประตูด้วยท่าทางตระกุกตระกักทุกคนก็แน่นิ่งไร้คำพูดและแสร้งทำเป็นไม่เห็น
ล้งเกาเฟยรู้สึกสะใจ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าทำตัวกร่างไว้เยอะหรอกรึ?
หลังจากซ่อมประตูทั้งสิบบานเสร็จ ถงจินหยุนก็มากล่าวขออภัยจ่างซุนเหลียงอีกครั้งและรีบเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
จ่างซุนเหลียงยิ้มและกล่าว “น้องชายหลิง คงถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว จะอย่างไรก็ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะในการประลองที่จะถึงด้วย”
แม้การประลองจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ผลลัพธ์ย่อมเป็นที่แน่นอนแล้ว
จ่างซุนเหลียงลุกขึ้นยืน แต่ทันใดนั้นเองเขาก็สำลักและกระอักโลหิตออกมา