“หลิงฮัน!” เสียงอันทรงอำนาจดังขึ้นพร้อมกับร่างของเม่าไต้ที่เดินใกล้เข้ามา
หลิงฮันรีบผสานมือคำนับอย่างรวดเร็วและกล่าว “คารวะผู้อาวุโสเม่าไต้!” เขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอีกฝ่ายเป็นอย่างมากที่ชี้แนะวิธีการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานอีกวิธีให้แก่เขา
สีหน้าของเม่าไต้ไม่ค่อยรื่นรมย์เท่าไหร่ เขากล่าว “เจ้าต้องการเข้าร่วมกับตระกูลติงจริงๆรึ?”
เขารู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ขนาดตัวเขายังไม่มีคุณสมบัติจะเป็นอาจารย์ของหลิงฮัน แต่หลิงฮันกลับเลือกที่จะเข้าร่วมกับตระกูลติงเสียได้
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าจะเข้าร่วมตระกูลติงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะยอมรับข้ารึไม่”
หมายว่าอย่างไรกัน?
เม่าไต้สับสน ตระกูลติงถึงขนาดจะเปิดวิหารบรรพบุรุษเพื่อเจ้า ซึ่งวันนี้ชื่อของเจ้าจะถูกประทับลงบนประวัติศาสตร์ตระกูลติง เจ้ายังจะสงสัยอีกรึว่าพวกเขาจะยอมรับเจ้ารึไม่? ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อใดที่เจ้าเปลี่ยนแซ่เป็นของตระกูลติง ไม่ว่าตระกูลติงจะทำเรื่องโหดร้ายแบบใดกับเจ้า คนนอกก็ไม่สามารถยื่นมือเข้ามายุ่งได้
“ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นกังวล ข้ารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร” หลิงฮันกล่าวโน้มน้าวให้เม่าไต้สบายใจ
เม่าไต้จ้องมองหลิงฮันอย่างลึกซึ้งก่อนจะพยักหน้าและตัดสินใจเฝ้าดูเหตุการณ์ในวันนี้เอาไว้ให้ดี
ประมุขตระกูลต้วนและตระกูลล้งก็มาเช่นกัน พวกเขาต้องการเกลี้ยกล่อมหลิงฮันเป็นครั้งสุดท้าย
“นายน้อยฮัน” รุ่นเยาว์ของตระกูลติงผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาหลิงฮันด้วยท่าทางสุภาพ
ตอนนี้หลิงฮันยังไม่ใช้คนของตระกูลติงอย่างเป็นทางการก็จริง แต่อนาคตอะไรก็เกิดขึ้นได้ บางทีตระกูลติงอาจจะยอมละทิ้งความบาดหมางในอดีตกับหลิงฮันและหันมาทุ่มเทฝึกฝนให้แทนก็เป็นได้
หลิงฮันพยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไร เขาไม่ได้รู้สึกชื่นชอบตระกูลติงเลยแม้แต่น้อยจึงไม่อยากจะพล่ามอะไรให้มากความ
รุ่นเยาว์ตระกูลติงยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขากล่าว “ใกล้จะถึงเวลาแล้ว โปรดตามข้ามา”
เนื่องจากหลังจากนี้หลิงฮันจะต้องไปยังวิหารบรรพบุรุษอันเป็นสถานที่ศักด์สิทธิ์ รุ่นเยาว์ตระกูลติงจึงได้นำพาหลิงฮันเดินผ่านประตูเข้ามาและไปเตรียมตัว
แน่นอนว่าคนที่มาเข้าร่วมชมพิธีเข้าร่วมตระกูลไม่ได้มีแค่คนของตระกูลติง ซึ่งทุกคนที่เข้าร่วมก็ได้ไปรอยังวิหารบรรพบุรุษก่อนแล้ว
โดยปกติ แค่การที่จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งเข้าร่วมตระกูลติงนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงดูดความสนใจของตัวตนระดับโลกียนิพพาน แต่ใครใช้ให้ชื่อเสียงของหลิงฮันโด่งดังกัน? เขาคือราชาแห่งยุคที่มีพรสวรรค์เทียบเท่ารัชทายาทของนิกายจันทราหม่นแสง ความสำเร็จภายภาคหน้าของของเขาย่อมไร้ขีดจำกัด!
เพราะเหตุนั้น ในพิธีรับคนเข้าตระกูลครั้งนี้ จึงไม่ได้มีเพียงแค่ประมุขของตระกูลติงที่เข้าร่วม แต่ตัวตนระดับสูงของตระกูลล้ง ตระกูลต้วน หรือแม้แต่เม่าไต้ก็มาก็เช่นกัน
หลิงฮันเดินตามรุ่นเยาว์ตระกูลติงมาถึงลานที่พักแห่งหนึ่ง หลังจากใช้เวลาครึ่งชั่วโมงไปกับการอาบน้ำชำระล้างร่างกาย หลิงฮันก็แต่งโฉมด้วยชุดใหม่และเปิดประตูเดินออกมา
สิ่งที่ไม่คาดคิดคือคนที่รอเขาอยู่หน้าประตูไม่ใช่รุ่นเยาว์ตระกูลติงคนเดิมแต่เป็นติงเซี่ยวเฉิน
“หลิงฮัน!” ติงเซี่ยวเฉินกัดฟันแค้นและกล่าว “เจ้าอาจจะหลอกคนอื่นได้ แต่เจ้าไม่มีวันหลอกข้าได้ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องวางแผนชั่วร้ายเอาไว้อย่างแน่นอน!”
หลิงฮันหัวเราะก่อนจะกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าเป็นพวกไร้สมองเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพอฉลาดอยู่บ้าง”
“ฮึ่ม ครั้งนี้เจ้าพลาดแล้ว!” ติงเซี่ยวเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เมื่อเจ้าเข้าร่วมตระกูลติงแล้ว ชีวิตของเจ้าจะเป็นหรือตายนั้นตระกูลติงคือผู้กำหนด!”
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้า?” หลิงฮันยิ้ม
“ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเหยียบย่ำเข้ามายังตระกูลติง โชคชะตาของเจ้าก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว” ติงเซี่ยวเฉินเค้นเสียง “เจ้าไม่มีวันหันหลังกลับได้!”
ท่าทีของหลิงฮันยังคงสงบนิ่งไม่ร้อนรน เขากล่าว “เจ้าเข้าใจผิดไปนะ ข้ายังไม่ได้เข้าร่วมตระกูลติงเสียหน่อย แต่เดี๋ยวก่อน… จะว่าไปข้าเองก็เป็นกังวลอยู่เหมือนกันว่าตระกูลติงของเจ้าจะไม่รับข้าเข้าตระกูล!”
“จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งตัวจ้อยเช่นเจ้าจะสร้างปัญหาได้แค่ไหนกันเชียว ตระกูลข้าถึงจะไม่รับเข้าตระกูล?” ติงเซี่ยวเฉินไม่คิดเช่นนั้น
“ข้าไม่น่าชมเลยว่าเจ้าพอจะมีสมองอยู่บ้าง สุดท้ายสมองของเจ้าก็โง่งมไม่ต่างอะไรกันแมลงสาป” หลิงฮันถอนหายใจและส่ายหัว
“เจ้า…” ติงเซี่ยวเฉินเกี้ยวกราวขึ้นมา
หลิงฮันยิ้ม “หรืออยากจะสู้?”
ติงเซี่ยวเฉินพยายามระงับอารมณ์เอาไว้ ต่อหน้าหลิงฮันพลังของเขาไม่อาจทำอะไรได้
“มากับข้า ถึงเวลาต้องไปวิหารบรรพบุรุษเพื่อสักการะเหล่าบรรพบุรุษแล้ว” เขาสะบัดแขนเสื้อและเดินนำออกไป แต่หลังจากเดินไปได้สักพักร่างของเขาก็ต้องหยุดชะงักและหันกลับมาเนื่องจากหลิงฮันไม่ได้เดินตามมาเลยแม้แต่ก้าว เข้าเค้นเสียงกล่าว “รีบๆตามมา”
“หากเจ้าบอกให้ตามไปข้าก็ต้องตามไปงั้นรึ? คิดว่าข้าไร้ศักดิ์ศรีหรือยังไง?” หลิงฮันไม่เดินตามไปและเลือกที่จะนั่งลง “เจ้าจะพล่ามอะไรก็ตามสบายข้าไม่รีบ”
เจ้าไม่รีบแต่ข้ารีบ!
หากหน้าที่เพียงเท่านี้ยังไม่สามารถทำได้ แล้วประมุขตระกูลจะมองเขาอย่างไร?
“หลิงฮัน อย่าได้สำคัญตนผิด!” เขาไม่ยินยอมที่จะร้องขอให้หลิงฮันตามมาแต่เลือกที่จะพูดคุกคาม
หลิงฮันจ้องมองติงเซี่ยวเฉินด้วยสายตาเหยียดหยามราวกับอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์
“หลิงฮัน!” ติงเซี่ยวเฉินขึ้นเสียง
หลิงฮันยกเข่าขึ้นหนึ่งข้างและแคะหู “ลองเห่าอีกครั้งสิ ข้าได้ทุบตีคนแถวนี้แน่”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมตามมา?” ติงเซี่ยวเฉินพยายามระงับอารมณ์
หลิงฮันเผยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าว “คำพูดที่หยาบคายของเจ้าเมื่อครู่ช่างเสียดแทงจิตใจของข้า จนทำให้ข้าไม่อยากขยับตัวไปไหนแล้วตอนนี้
เสียดแทงน้องสาวเจ้าน่ะสิ!
ติงเซี่ยวเฉินไม่กล้าขึ้นเสียงและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็ได้ ข้าขอโทษ!”
“เจ้ายังจริงใจไม่พอ!” หลิงฮันส่ายหัว
แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าจริงใจ?
ติงเซี่ยวเฉินกัดฟัน “ข้าขออภัยด้วย เป็นข้าเองที่ปากพล่อยเมื่อครู่ ด้วยจิตใจอันกว้างใหญ่ของเจ้าหวังว่าจะไม่ถือโทษโกรธข้า”
หลิงฮันยังคงส่ายหัว “จิตใจอันกว้างใหญ่อะไร ข้าใจแคบจะตาย”
บัดซบ!
ปกติติงเซี่ยวเฉินไม่ใช่คนที่จะสูญเสียอารมณ์จนควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮันเขาถึงได้ไม่เคยสบอารมณ์เลยสักครั้ง เขาจ้องมองหลิงฮันอย่างรังเกียจก่อนจะโค้งตัวก้มหัวและกล่าว “ข้าขออภัยจริงๆ”
หลิงฮันลุกขึ้นยืนและกล่าว “จะมัวยืนนิ่งทำไม? รีบไปได้แล้ว หากไปพิธีสำคัญเช่นนี้สายเจ้าคิดว่าตัวเองจะรับผิดชอบไหวรึไง?”
ประโยคนี้ทำให้ติงเซี่ยวเฉินรู้สึกเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมากแต่ก็ต้องยอมเดินนำทางหลิงฮันไปอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนที่หลิงฮันจะเข้าร่วมตระกูลติงอย่างเป็นทางการ เขาจำเป็นต้องยอมหลิงฮันไปก่อนในทุกๆเรื่อง