การยินยอมแต่โดยดีของเม่าไต้ทำให้ติงซานรู้สึกสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ไม่ลังเลที่จะตรวจสอบ เขากล่าว “ขออภัยที่ล่วงเกิน” และขึ้นมายังรถม้า
ติงซานใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบทั่วรถม้าแต่ก็ไม่พบอะไร หลังจากตรวจสอบไปถึงสามครั้งเขาก็ต้องยอมกลับลงมาจากรถม้าและกล่าว “น้องชายเม่า ขอตรวจสอบตัวเจ้าด้วย”
เม่าไต้ยิ้มและยกแขนขึ้นเพื่อบ่งบอกให้อีกฝ่ายทำตามสบาย
อันที่จริงตัวเขาเองก็ตกใจเหมือนกัน ทั้งๆที่หลิงฮันขึ้นรถม้ามากับเขาแท้ๆแต่ติงซานกลับตรวจไม่พบ
หากเป็นเช่นนี้ต่อให้ไม่ยืมมือเขาหลิงฮันก็คงสามารถหลบหนีออกจากเมืองด้วยตัวเองได้ เพราะในทุกๆวันก็มีขบวนรถม้ามากมายเข้าออกเมืองอยู่แล้ว หลิงฮันสามารถหลบซ่อนตัวไปกับรถม้าคันใดก็ได้โดยที่ไม่มีใครรับรู้
เม่าไต้เผยรอยยิ้ม การที่หลิงฮันทำเช่นนี้หมายความว่าอีกฝ่ายต้องการกล่าวลาเขา เพราะไม่งั้นหากหลิงฮันหายตัวจากไปเงียบๆ เขาย่อมไม่มีทางรู้เลย
บนตัวเม่าไต้นั้นไม่ได้พกอุปกรณ์มิติอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียวติงซานจึงตรวจไม่พบเจออะไร เขามองไปยังเม่าไต้ด้วยสีหน้าประหลาดใจและครุ่นคิด ‘หรือเม่าไต้จะแค่อยากออกไปจากเมืองจริงๆ?’
“ข้าไปได้รึยัง?” เม่าไต้เอ่ยถามอย่างไม่แยแส
“เชิญน้องชายเม่า” ติงซานบอกทหารยามให้เปิดประตูเมือง
ติงซานยืนแน่นิ่งอยู่บนกำแพงโดยที่สายตาจดจ้องไปยังรถม้าที่ค่อยๆเคลื่อนที่ห่างออกไป หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กระโดดไล่ตามรถม้าไป
ไม่ว่าจะคิดยังไงการที่จู่ๆเม่าไต้จะออกจากเมืองในเวลาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่แปลกมากอยู่ดี ยิ่งอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์อันดีกับหลิงฮันด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขารู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก
แม้เขาจะไล่ตามจากด้านหลังในระยะที่ห่างไกล แต่ด้วยการตรวจสอบของสัมผัสสวรรค์ หากหลิงฮันซ่อนตัวอยู่ในรถม้าจริงๆ เมื่อใดที่อีกฝ่ายปรากฏตัวเขาจะรับรู้ได้ในทันที
แต่ทว่าหลังจากที่ไล่ตามมากว่าสิบวันความอดทนของติงซานก็เริ่มจะหมดลงและเริ่มคิดว่าหากเม่าไต้เป็นเพียงเหยื่อล่อให้เขาออกจากเมืองล่ะ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลังจากไล่ตามต่อไปได้อีกสามวัน เขาก็ยอมแพ้และหันหลังกลับเมือง
“เจ้าหนู ออกมาได้แล้ว” เม่าไต้กล่าว แน่นอนว่าเขารู้ว่าติงซานกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ แม้อีกฝ่ายจะปกปิดตัวตนได้ดีแต่ก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาของอัจฉริยะเช่นเขา
แต่ทว่าหลิงฮันกลับยังไม่ปรากฏตัวออกมาทันที เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่งเขาถึงจะปรากฏตัวออกมา
ที่เขาปรากฏตัวช้าเป็นเรื่องสุดวิสัย เมื่อครู่หลิงฮันกำลังอยู่ในระหว่างทำรักกับจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะอยู่พอดี เม่าไต้ถึงต้องรอไปก่อน
หลิงฮันไม่ได้กล่าวถึงเหตุผลที่ปรากฏตัวช้าและกล่าว “ขอบคุณผู้อาวุโสมากที่ช่วยเหลือข้า”
“ต่อให้ไม่มีการช่วยเหลือจากข้า เจ้าก็หลบหนีปัญหาได้ไม่ยากอยู่ดี” เม่าไต้หัวเราะและกล่าวต่อ “อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ข้าจะพาจางชงศิษย์ของข้าไปยังหุบเหวสืบสานนิพพาน หากพวกเจ้าพบเจอกันก็ขอให้ช่วยเหลือกันบ้าง”
“ขอรับ!” หลิงฮันพยักหน้าตอบรับก่อนจะเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส การทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานจำเป็นต้องไปยังสถานที่พิเศษเพียงครั้งเดียวเท่านั้นรึเปล่า?”
เม่าไต้พยักหน้า “ตามหลักแล้ว เพื่อทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานเจ้าจำเป็นต้องไปยังสถานที่พิเศษเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากเจ้าบรรลุระดับหนึ่งนิพพานแล้ว อำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีจะประทับลงบนร่างกายของเจ้า จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปสถานที่พิเศษอีกครั้งเมื่อต้องการทะลวงผ่านระดับสองนิพพาน”
“เพียงแต่ว่าสำหรับบางคนที่มีพรสวรรค์ไม่เพียงพอ พวกเขาอาจจะต้องไปยังสถานที่พิเศษอีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจในอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีใหม่ถึงจะสามารถทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์สองนิพพานหรือสามนิพพานได้”
หลิงฮันพยักหน้าก่อนจะโค้งคำนับเม่าไต้อย่างเคารพ “ผู้อาวุโส คงถึงเวลาที่ข้าต้องขอตัว”
เม่าไต้สะบัดมือ “เชิญ” หลังจากกล่าวคำนี้ออกไปเขาก็แสดงท่าทีเสียดายเล็กน้อย “แต่เดิมข้าคิดจะเสนอให้เจ้าแต่งงานกับบุตรสาวข้าแท้ๆ แต่น่าเสียดายที่เจ้าก่อปัญหาเอาไว้มากเกินไป ข้าจึงไม่อาจฝากฝังนางไว้กับเจ้าได้”
หลิงฮันรีบหันหลังก้าวจากไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ต้องการปวดหัวกับเรื่องรักๆใคร่ๆเพิ่มอีกแล้ว สำหรับเขาแค่เหล่าภรรยาแสนงดงามที่มีอยู่ในตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว
เขาใช้เวลาอยู่หลายวันกว่าจะออกมาจากพื้นที่อาณาเขตของเมืองธุลีจันทราได้และนำจักรพรรดินีกับสตรีนกอมตะออกมาจากหอคอยทมิฬ
ทั้งสามคนออกเดินทางกว่าสิบวันจนมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง หลังจากผ่านเข้าเมืองแล้วก็ได้ทำการโดยสารเรือเพื่อประหยัดเวลา ไม่เช่นนั้นหากเดินทางด้วยเท้าตัวเองกว่าจะไปถึงหุบเหวสืบสานนิพพาน เวลาก็อาจจะกระชั้นชิดเกินไป
ทั้งหลิงฮันและจักรพรรดินีเก็บตัวขัดเกลาพลังบ่มเพาะ พวกเขาเหลือเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น หากบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดไม่ได้พวกเขาจำเป็นต้องรอไปอีกสิบล้านปี
เนื่องจากพวกเขาไม่ขาดแคลนศิลาดวงดาวอยู่แล้ว จึงกว้านซื้อสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำมาจำนวนมาก
จักรพรรดินีเป็นฝ่ายบรรลุขั้นสูงสุดก่อน ตอนนี้นางแค่ต้องรอให้ถึงเวลาทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานเท่านั้น ส่วนในด้านของหลิงฮัน หลังจากบ่มเพาะพลังบนเรือไปได้อีกราวๆหนึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็บรรลุขั้นสูงสุดของระดับสร้างสรรพสิ่ง
ดวงดาราสิบล้านดวง!
เขาไม่หยุดขัดเกลาพลังเพียงเท่านี้และควบแน่นจำนวนของดวงดาราต่อไป ยิ่งมีดวงดารามากเท่าไหร่พลังต่อสู้ของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ทำให้สามารถสำรองปราณก่อเกิดจำนวนมากเอาไว้ได้ในขณะที่ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน
สามเดือนต่อมา พวกหลิงฮันก็ทำการลงจากเรือ
ตอนนี้พวกเขามาถึงเมืองจันทราตระหง่านซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสงที่อยู่ห่างไกลมากที่สุดและอยู่ห่างจากหุบเหวสืบสานนิพพานเพียงสามหมื่นลี้
ตามหลักแล้วแม้หุบเหวสืบสานนิพพานจะเป็นเขตแดนลี้ลับภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสง แต่เนื่องจากอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีอันหนาแน่นเป็นพิเศษของเขตแดนลี้ลับ ทำให้แม้แต่ตระกูลเซียวจากเมืองร้อยมหาอำนาจ หรือแม้แต่ตระกูลฟู่ก็ยังมาที่นี่เพื่อทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน
กล่าวคือภายใต้อาณาเขตการปกครองของตระกูลฟู่ หุบเหวสืบสานนิพพานคือเขตแดนลี้ลัยที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบรรลุสู่นิรันดร์
ณ เวลานี้ยังเหลือเวลาอีกราวๆหนึ่งปีก่อนที่หุบเหวสืบสานนิพพานจะเปิดออก เพราะเหตุนั้นในเมืองจันทราตระหง่านจึงมีราชาเซียนสูงสุดอยู่มากมาย พวกเขาทุกคนต่างรอคอยเวลาที่จะฝ่าฟันบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
หากฝ่าฟันสำเร็จพวกเขาก็จะถูกเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ในดินแดนแห่งเซียน พวกเขาจะมีอายุขัยไร้ขีดจำกัดและไม่แก่เฒ่า แต่หากฝ่าฟันไม่สำเร็จ ผู้คนกว่าเก้าในสิบส่วนล้วนแต่ต้องสิ้นชีพและเดินทางสู่ปรโลก
ถึงแม้ผู้คนที่มาเมืองนี้ส่วนใหญ่จะมาจากขุมอำนาจภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสง แต่ขุมอำนาจเหล่านั้นก็มีไม่น้อยที่เป็นปฏิปักษ์ไม่ลงรอยกัน ในเมืองจึงเกิดการปะทะขึ้นบ่อยครั้ง
พวกหลิงฮันทั้งสามคนทำตัวไม่โดดเด่นและบ่มเพาะพลังอยู่เงียบๆ
เมื่อเวลาผ่านพ้นไปอีกสิบเดือน ทั้งสามคนก็ได้ทำการออกจากเมืองและมุ่งหน้าไปยังหุบเหวสืบสานนิพพาน