ย้อนเวลากลับไปเล็กน้อย บางแห่งในดินแดนแห่งเซียนอันเป็นที่ตั้งของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์
“ขอรายงานประมุขหญิงน้อย ตอนนี้หลิงฮันได้ข้ามผ่านมายังดินแดนแห่งเซียนแล้ว” สตรีอัปลักษณ์คุกเข่าต่อหน้าฮูหนิวด้วยสีหน้าเลื่อมใส
ประมุขหญิงน้อยของนางสามารถบรรลุระดับโลกียนิพพานได้ตั้งแต่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพี ทำให้มีศักยภาพของราชาในหมู่ราชา ความสำเร็จเช่นนี้ต่อให้เป็นรัชทายาทของมหาขุมอำนาจอื่นๆก็มีเพียงหยิบมือ
ฮูหนิวเอนหลังพิงม้านั่งอย่างเกียจคร้าน ด้วยนิสัยขี้เบื่อหน่ายของนางทำให้การบ่มเพาะพลังเปรียบเสมือนฝันร้าย หากไม่ใช่เพราะนางถูกแม่มดเฒ่าบังคับให้บ่มเพาะพลังทุกวี่ทุกวัน นางคงออกไปตามหาหลิงฮันนานแล้ว
‘ตุบ’ ฮูหนิวกระโดดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและหัวเราะ “หลิงฮันของหนิวอยู่ไหน? เร็วเข้า รีบพาหนิวไปหาเขาเร็ว!”
สตรีอัปลักษณ์เผยสีหน้าไม่พอใจ ในความคิดของนาง ประมุขหญิงน้อยผู้นี้คือสตรีที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ไม่มีบุรุษเพศคนใดเหมาะสมพอจะเป็นคู่ครองของนาง
แต่ในเมื่อประมุขหญิงน้อยเอ่ยถาม มีรึที่นางจะกล้าไม่ตอบ?
“ขอตอบประมุขหญิงน้อย ณ เวลานี้พวกเรายังไม่ทราบถึงตำแหน่งของเขา” สตรีอัปลักษณ์กล่าว “หลังจากเปิดเส้นทางผ่านมายังดินแดนแห่งเซียนแล้ว ตำแหน่งที่เขาถูกส่งไปจะเป็นการสุ่ม ด้วยขนาดอันกว้างใหญ่ของดินแดนแห่งเซียน คงเป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบ”
“หนิวไม่สน พวกเจ้าต้องออกตามหาเขาเดี๋ยวนี้ หนิวอยากเจอหลิงฮัน!” ฮูหนิวทำท่าทางฮึดฮัดเอาแต่ใจ
“เจ้าค่ะ ประมุขหญิงน้อย!”
หลังจากนั้นไม่นาน กองกำลังมังกรอินทรีสิบสองกลุ่มก็เหาะเหินทะยานออกจากตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ กองกำลังมังกรอินทรีแต่ละกลุ่มมีปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะเป็นผู้สั่งการและมีองครักษ์ระดับแบ่งแยกวิญญาณอยู่อีกสิบคน
กองกำลังทั้งสิบสองกลุ่มมีหน้าที่เดียวกันคือตามหาบุรุษเพียงคนเดียวจากทั่วทั้งดินแดนแห่งเซียนอันกว้างใหญ่
……
พวกหลิงฮันทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังหุบเหวสืบสานนิพพาน เขตแดนลี้ลับแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากอำนาจของสวรรค์และปฐพี โดยปกติสภาพแวดล้อมของมันจะอันตรายจนไม่มีใครสามารถเข้าสู่ส่วนลึกภายในได้
มีเพียงหนึ่งครั้งในสิบล้านปีเท่านั้นที่เมื่อหุบเหวสืบสานนิพพานเปิดออก พลังงานจากสวรรค์และปฐพีที่อยู่ภายในเขตแดนจะลดลงมาอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ทำให้ผู้คนสามารถเข้าสู่ส่วนลึกของเขตแดน
“หากไม่มีเรื่องผิดพลาด ตระกูลติง ตระกูลหานหรือแม้แต่ตระกูลเซียวก็อาจจะมาที่นี่เพื่อไล่ล่าข้า” หลิงฮันลูบคางและบ่นพึมพำ “นี่ข้าน่าเกลียดชังขนาดนั้นเชียว?”
สตรีนกอมตะเผยรอยยิ้ม หลิงฮันนั้นมีความสามารถในการสร้างปัญหาอย่างแท้จริง ขนาดในตอนนี้เขาที่ยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับระดับสร้างสรรพสิ่งตัวจ้อยกลับสร้างความบาดหมางกับขุมอำนาจระดับสามดาวได้
“พวกเราอย่าทำตัวโดดเด่นก็แล้วกัน”
ทั้งสามคนสวมใส่ชุดคลุมไม่เปิดเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงและควบคุมออร่าเอาไว้ ต่อให้เป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน การจะรับรู้ถึงตัวตนของพวกเขาได้นั้น จำเป็นที่จะต้องเข้ามาอยู่ในระยะที่ใกล้ชิด
หากเป็นตัวตนระดับระดับแบ่งแยกวิญญาณหรือระดับขอบเขตตำหนักอมตะอาจจะสามารถรับรู้ตัวตนของพวกเขาจากระยะไกลได้ แต่ปรมาจารย์ระดับนั้นจะมาที่นี่รึ?
กว่าเขตแดนลี้ลับจะเปิดออกยังเหลือเวลาอีกเดือนสองเดือนแต่ผู้คนกลับมารวมตัวกันที่นี่ก่อนแล้วมากมาย
“เซียวเซิ่งมาที่นี่ด้วย!” ใครบางคนอุทานออกมาท่ามกลางฝูงชน
“เซียวเซิ่ง? ใครคือเซียวเซิ่ง?” มีหลายคนไม่รู้จัก
“อะไรกัน พวกเจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องที่เซียวเซิ่งเอาชนะจ่างซุนเหลียงได้เมื่อสองปีก่อนงั้นรึ?”
“จ่างซุนเหลียง? รัชทายาทแห่งนิกายจันทราหม่นแสงผู้นั้นน่ะรึ? เหลือเชื่อ!”
ในระยะเวลาเพียงสองปีเป็นไปไม่ได้ที่ข่าวเกี่ยวกับการปะทะกันระหว่างจ่างซุนเหลียงกับเซียวเซิ่นจะแพร่กระจายไปถึงหูทุกขุมอำนาจภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่
จ่างซุนเหลียงมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก เขาคือราชารุ่นเยาว์ที่ได้รับจากยอมรับจากตระกูลฟู่และไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ เพราะงั้นเมื่อได้ยินว่าจ่างซุนเหลียงผู้นั้นพ่ายแพ้ ทุกคนจึงตกตะลึงเป็นธรรมดา
“เซียวเซิ่นที่ว่าคือตระกูลเซียวจากเมืองร้อยมหาอำนาจ?”
“ถูกต้อง นับเป็นเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างมากที่ตระกูลเซียวสามารถฝึกฝนอัจฉริยะที่แข็งแกร่งกว่าจ่างซุนเหลียงขึ้นมาได้ บางทีในอนาคต เซียวเซิ่นผู้นั้นอาจจะมีโอกาสบรรลุเป็นตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะ”
“ฮ่าๆๆ บางทีเจ้าอาจจะยังไม่รู้ แต่ในช่วงยุคสมัยนี้มีอัจฉริยะมากมายถือกำเนิดขึ้นมา จ่างซุนเหลียงนั้นไม่ใช่ราชาแห่งยุคที่สุดเพียงคนเดียว!”
“เป็นความจริงรึ?”
“ซ่งจี๋จากเมืองอาณาเขตทางเหนืออันรกร้าง หม่าอิ่งแห่งเมืองค้ำจุนสวรรค์ ทั้งสองสามารถกล่าวได้ว่าเป็นราชาแห่งยุคเช่นกัน ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือตระกูลฟู่ พวกเขาสามารถให้กำเนิดอัจฉริยะที่ครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์!”
พริบตานั้นเอง ผู้คนโดยรอบก็สูดหายใจลึกด้วยความตะลึง
แม้แต่ในดินแดนแห่งเซียน คำว่า ‘แก่นกำเนิดนิรันดร์’ ก็ไม่สามารถใช้เอ่ยได้ตามอำเภอใจ แก่นกำเนิดนิรันดร์คือคำที่ใช้เรียกพลังที่แสนพิเศษและทรงพลังของกายหยาบ ซึ่งแม้แต่หนึ่งในล้านล้านคนก็ยากจะปรากฏให้เห็น
“อัจฉริยะที่ว่าคือใครกัน?”
“ฟู่เสี่ยวอวิ๋น ไม่เพียงนางจะครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์อันไร้เทียมทาน แต่นางยังงดงามจนถึงขนาดทำให้ดวงวิญญาณของผู้คนหลุดลอยออกจากร่างได้!”
“นางก็มาเพื่อทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานในครั้งนี้ด้วย?”
“แน่นอนอยู่แล้ว หากพลาดโอกาสนี้นางก็ต้องรอคอยไปอีกสิบล้านปี สำหรับราชาแห่งยุคแล้ว ระยะเวลาสิบล้านปีเพียงพอที่จะทำให้สามารถทิ้งห่างคู่ต่อสู้ไปไกล”
หลิงฮันที่ฟังอยู่รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน… แก่นกำเนิดนิรันดร์!
การจะมีแก่นกำเนิดนิรันดร์ได้นั้นมีอยู่สองวิธี วิธีการแรกคือหากบิดา มารดาหรือบรรพบุรุษเป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ ทายาทที่ถือกำเนิดจากสายเลือดของตัวตนระดับนั้นก็มีโอกาสที่จะได้รับสืบทอดแก่นกำเนิดนิรันดร์
วิธีการที่สองคือการฝึกฝน ทักษะบ่มเพาะระดับราชานิรันดร์บางทักษะนั้นหากฝึกฝนจะสามารถสร้างแก่นกำเนิดนิรันดร์ขึ้นมาได้ ยกตัวอย่างเช่นกู่ต้าวอี้ที่สร้างแก่นกำเนิดนิรันดร์สำเร็จในชีวิตที่สิบ
ไม่รู้ว่าฟู่เสี่ยวอวิ๋นกับจักรพรรดินีนั้น ฝ่ายไหนจะแข็งแกร่งกว่ากัน?
หลิงฮันกวาดสายตามองรอบด้านและมองเห็นเซียวเซิ่น ในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาบาดแผลของอีกฝ่ายได้ถูกรักษาจนหายดีแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลเซียวเองก็ทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาเซียวเซิ่นเหมือนกับที่นิกายจันทราหม่นแสงทำกับจ่างซุนเหลียง
เซียวเซิ่นนั้นแม้จะรู้สึกอัปยศที่พ่ายแพ้หลิงฮันอย่างหมดท่า แต่การที่เขาเอาชนะจ่างซุนเหลียงก็ยังทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจอยู่ดีและแสดงท่าทีเหยียดหยามทุกคน
เวลาผ่านไปอีกไม่กี่วัน ราชาแห่งยุคคนอื่นๆก็มาถึง
ซ่งจี๋ ราชาแห่งยุคหน้าใหม่ที่ถูกกล่าวขานว่ามีพลังต่อสู้น่าสะพรึงกลัวและไร้คู่ต่อสู้ในระดับพลังต่ำกว่าโลกียนิพพาน หม่าอิ่งสตรีงดงามจากเมืองค้ำจุนสวรรค์ที่ถูกกล่าวขานว่าไร้เทียมทานเช่นเดียวกันกับซ่งจี๋
มีข่าวลือหนาหูว่าซ่งจี๋กับหม่าอิ่งนั้นมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดต่อกัน ผู้อาวุโสของทั้งสองฝ่ายจึงตั้งใจจะให้ทั้งสองตบแต่งกัน หากเรื่องนี้เป็นความจริงล่ะก็ เกรงว่าทั้งสองตระกูลจะกลายเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังที่สุดภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ หรือแม้แต่ตระกูลฟู่ก็อาจจะสั่นคลอนได้ในอนาคต
ทางด้านของฟู่เสี่ยวอวิ๋นนั้น นางมาที่นี่โดยไร้ผู้ติดตามจากตระกูลฟู่และตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่ยอดบนสุดของภูเขา ใบหน้าอันงดงามของนางทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกเร่าร้อนจนแทบจะบ้าคลั่ง แต่เนื่องจากบนขาของนางมีดาบยาวที่ปลดปล่อยกลิ่นอายอันโหดเหี้ยมพาดเอาไว้ คนอื่นๆจึงไม่กล้าเข้าใกล้
“จ่างซุนเหลียงมาแล้ว!” อีกสองวันต่อมา เหล่าฝูงชนก็ส่งเสียงเอะอะอีกครั้ง เมื่อเทียบกับตอนที่ซ่งจี๋ หม่าอิ่งและฟู่เสี่ยวอวิ๋นปรากฏตัวแล้ว ในครั้งนี้เหล่าฝูงชนส่งเสียงตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมมาก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่จ่างซุนเหลียงก็ยังเป็นราชาแห่งยุคเพียงหนึ่งเดียวที่ทุกคนยอมรับ