เหล่าฝูงชนส่งเสียงเอะอะ
จ่างซุนเหลียงคือราชาแห่งยุคที่ทุกคนยอมรับ ต่อให้เขาจะพ่ายแพ้ให้แก่ใครอื่นหรือมีใครสามารถต่อสู้ได้ทัดเทียมเขา ชื่อเสียงของจ่างซุนเหลียงก็ไม่ได้รับผลกระทบง่ายๆ
เซียวเซิ่นแสยะยิ้ม คนที่พ่ายแพ้ไปแล้วมีสิทธิ์อะไรมาทำตัวหยิ่งผยอง? เขากอดอกแน่นและทำสีหน้าเหยียดหยาม แต่ทว่าทั้งๆที่เขาพยายามทำตัวเองให้โดดเด่นแท้ๆกลับไม่มีใครเลยที่สนใจเขา
เซียวเซิ่นไม่สบอารมณ์และกล่าว “จ่างซุนเหลียง เจ้ากล้าสู้กับข้ารึไม่?”
จ่างซุนเหลียงกวาดสายตามองและกล่าว “หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพาน พวกเราจะมาสู้กันอีกครั้ง”
ตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเซียวเซิ่นได้หรือไม่ แต่ ณ เวลานี้หากปะทะกันขึ้นมาจริงๆมีโอกาสสูงมากที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปจนถึงวิถีแห่งเต๋า หากเป็นเช่นนั้นสุดท้ายพวกเขาทั้งสองคนก็จะไม่มีใครเลยที่สามารถบรรลุสู่ระดับโลกียนิพพานได้ จ่างซุนเหลียงไม่คิดจะนำตัวเองไปเสี่ยงเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
เซียวเซิ่งเค้นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ เขาตัดสินใจแล้วว่าหลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพานสำเร็จ เขาจะเหยียบย่ำจ่างซุนเหลียงให้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ ทีนี้ทุกคนก็จะได้รู้เสียทีว่าใครกันแน่ที่เป็นราชาที่แท้จริง
“ฮ่าๆๆ!” ซ่งจี๋ลุกขึ้นยืนและกล่าวเสียงดังลั่น “พี่ชายจ่างซุน หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพานแล้ว ข้าก็อยากขอคำชี้แนะจากท่านเช่นกัน! ก่อนถึงตอนนั้นข้าหวังว่าท่านจะไม่แพ้ให้กับใครอื่นเสียก่อน ข้าไม่อยากท้าประลองกับพวกขี้แพ้!”
หม่าอิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างซ่งจี๋ปลดปล่อยกลิ่นอายสู้รบออกมาเช่นกัน นางเองก็ต้องการพิชิตราชาแห่งยุคในปัจจุบันและขึ้นเป็นราชาคนใหม่
จ่างซุนเหลียงที่ยืนอยู่ในตำแหน่งราชาแห่งยุค แน่นอนว่าจิตใจของเขาย่อมหนักแน่นราวกับเหล็กกล้า คำยั่วยุจากผู้ท้าประลองไม่อาจทำให้เขาสูญเสียความสุขุมได้
ว่าแต่ว่าหลิงฮันอยู่ที่นี่รึไม่?
เขาหันหน้ากวาดสายตามองหาหลิงฮัน แต่แพราะพวกหลิงฮันทั้งสามคนปกปิดตัวตนและปิดบังออร่าเอาไว้ จ่างซุนเหลียงจึงหาพวกเขาไม่พบ
หลิงฮันไม่ต้องการพบเจอจ่างซุนเหลียงที่นี่ เนื่องจากขุมอำนาจที่เขาทำการล่วงเกินไปนั้นมีมากมาย เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายติดร่างแหลำบากไปด้วย
ทางด้านของฟู่เสี่ยวอวิ๋นนั้น นางยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางนั้นมีนิสัยอ่อนโยนไม่ชอบท้าทายคนอื่น หรือนางมั่นใจว่าตนเองแข็งแกร่งเหนือใครจนไม่จำเป็นต้องท้าประลองเพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้แก่ตนเองเหมือนพวกเซียวเซิ่นกันแน่
ตระกูลติงเองก็มาที่นี่เช่นกัน จุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่นั้นไม่ได้เพื่อนำรุ่นเยาว์ของตระกูลมาทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแต่มาเพื่อตามหาหลิงฮัน เพียงแต่ว่าสถานที่แห่งนี้มีคนอยู่นับล้านแถมรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่ยังมีผู้อาวุโสของตระกูลติดตามมาด้วย ตระกูลติงจึงไม่มีอำนาจพอที่จะไปขอตรวจสอบรุ่นเยาว์แต่ละคน
ส่วนทางด้านของตระกูลหานนั้น พวกเขาไม่กล้ายื่นมือเข้ามาแทรกแซงถึงที่นี่เพราะเกรงว่าจะเป็นการล่วงเกินตระกูลฟู่
วันเวลาค่อยๆผ่านพ้นไปพร้อมกับระยะเวลาเปิดของหุบเหวสืบสานนิพพานที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา สำหรับจอมยุทธทุกคนการก้าวสู่ระดับโลกียนิพพานเป็นเรื่องที่สำคัญมาก มีเพียงต้องข้ามผ่านขั้นตอนนี้เท่านั้นพวกเขาถึงจะสามารถเปิดหูเปิดตาในดินแดนแห่งเซียน
“หืม ทุกคนดูนั่น!” จู่ๆใครบางคนก็อุทานออกมาและชี้นิ้วไปยังท้องฟ้า
คนอื่นๆมองตามนิ้วของใครบางคนผู้นั้นและพบเห็นวานรร่างยักษ์ลอยอยู่บนท้องฟ้า ขนของวานรตนนี้เป็นสีทองอร่าม ความสูงของมันยิ่งใหญ่เกินกว่าหมื่นฟุต ขาของมันออกแรงเดินอย่างหนักหน่วงเนื่องจากกำลังลากเรือเหาะไม้ไผ่ลำหนึ่ง
เรือไม้ไผ่ที่ถูกลากอยู่ไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก ลำเรือมีความยาวเพียงราวๆสามเมตรกว่าเท่านั้น แต่ดูจากการที่วานรยักษ์เหนื่อยหอบทุกครั้งที่ก้าวเดิน เกรงว่าน้ำหนักของเรือไม้ไผ่ลำนี้คงจะหนักหนาเป็นอย่างมาก
ขุมอำนาจใดกำลังมากันแน่?
“ดูสัญลักษณ์นั่น!” ใครบางคนดวงตาเฉียบแหลม เขามองเห็นสัญลักษณ์รูปดวงจันทร์ถูกประทับอยู่บนเรือเหาะไม้ไผ่และอุทานออกมาทันที
“นิกายอาญาสิ้นแสง!” ใครหลายคนอุทานพร้อมกัน
นิกายอาญาสิ้นแสงคือขุมอำนาจสามดาวที่อยู่ห่างไกลจากอาณาเขตของตระกูลฟู่เล็กน้อย ในหมู่ขุมอำนาจระดับสามดาวนับร้อยระแวกใกล้เคียงนี้ นิกายอาญาสิ้นแสงมีความแข็งแกร่งอยู่ในสิบอันดับแรก ซึ่งทรงพลังเกินกว่าที่ตระกูลฟู่จะเทียบได้
ตามหลักแล้วนิกายอาญาสิ้นแสงไม่สมควรมาที่นี่เพราะภายใต้อาณาเขตการปกครองของนิกายอาญาสิ้นแสงเองก็มีเขตแดนลี้ลับพิเศษสำหรับทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานเหมือนกับหุบเหวสืบสานนิพพานอยู่เช่นกัน
หรือในแถวนี้จะมีสมบัติระดับนิรันดร์อันล้ำค่าปรากฏออกมา?
วานรยักษ์ชะลอการลากเรือไม้ไผ่ลงอย่างช้าๆ แม้มันจะเป็นสัตว์อสูรระดับนิรันดร์แต่สัญชาตญาณดิบอันโหดเหี้ยมก็ไม่ได้จางหายไป มันแสยะยิ้มมายังฝูงชนอย่างโหดเหี้ยมพร้อมกับคำรามเสียงดัง ในขณะเดียวกันนั้นเอง ร่างของบุรุษรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็ก้าวเดินออกมาจากเรือเหาะไม้ไผ่ เขาเป็นชายร่างผอมที่สวมชุดทักทออย่างประณีต
“นิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน!” เมื่อเห็นรุ่นเยาว์ที่ปรากฏตัวออกมา ใครหลายคนก็อุทานด้วยความตกตะลึง
ถึงแม้หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพานแล้วอายุจะไม่มีความหมายอีกต่อไป แต่การที่ใครคนหนึ่งสามารถบรรลุระดับโลกียนิพพานได้ทั้งๆที่ยังเยาว์วัยอยู่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อยู่ดี เนื่องจากมันแสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นมีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใด
รุ่นเยาว์ผู้นี้อย่างมากก็มีอายุเพียงหนึ่งแสนปีเท่านั้น!
เหลือเชื่อ! สามารถบรรลุระดับโลกียนิพพานได้ด้วยอายุไม่เกินหนึ่งแสนปีงั้นรึ? แม้แต่ในตระกูลฟู่ก็ไม่มีอัจฉริยะระดับนี้
“เสี่ยวอวิ๋น” สายตาของบุรุษผู้นั้นจดจ้องมายังฟู่เสี่ยวอวิ๋นและเผยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินว่าเจ้ากำลังจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานจึงได้เดินทางมาหาเจ้า จะอย่างไรข้าเองก็กำลังจะทะลวงผ่านสองนิพพานอยู่แล้ว พวกเรามาก้าวไปพร้อมกันเลยแล้วกัน”
สองนิพพาน!
แค่บรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยอายุเพียงแค่นั้นก็น่าอัศจรรย์มากพอแล้ว แต่นี่เขายังกำลังจะทะลวงผ่านสู่สองนิพพานอีกด้วย? พรสวรรค์เขาจะน่าสะพรึงกลัวเกินไปรึเปล่า?
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นพยักหน้าให้กับอีกฝ่ายและเผยรอยยิ้มที่ยากจะมีให้เห็น
ทั้งสองคนนี้มีสายสัมพันธ์อะไรบางอย่าง?
ใครบางคนที่รู้ข้อมูลเอ่ยปากเล่าทันที
รุ่นเยาว์ผู้นี้มีชื่อว่าเป่ยเสวียนหมิง เขาคือรัชทายาทแห่งนิกายอาญาสิ้นแสง ทางด้านของนิกายอาญาสิ้นแสงนั้นมีความคิดที่จะสร้างสายสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับตระกูลฟู่ โดยคิดจะให้เป่ยเสวียนหมิงตบแต่งกับฟู่เสี่ยวอวิ๋น
ทำไมถึงต้องเป็นสองคนนี้?
เหตุผลก็เพราะทั้งสองคนได้รับการยอมรับจากตำหนักวิหารพลิกผันชะตาซึ่งเป็นขุมอำนาจระดับสี่ดาว ในหมู่ขุมอำนาจระดับสามดาวนับร้อยนั้น อัจฉริยะที่ได้รับโอกาสให้เข้าร่วมกับตำหนักวิหารพลิกผันชะตามีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น
เมื่อข้อมูลเรื่องนี่แพร่งพรายออกไป ทุกคนก็เกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันที
เป่ยเสวียนหมิงแต่เดิมก็เป็นราชารุ่นเยาว์ที่ทรงพลังและเป็นรัชทายาทของนิกายอาญาสิ้นแสงอยู่แล้ว ถ้าหากเขาได้สตรีที่งดงามอย่างฟู่เสี่ยวอวิ๋นไปเป็นภรรยาอีกล่ะก็ จะยังมีบุรุษคนใดที่สมบูรณ์แบบไปกว่าเขาอีก?
“เห็นว่ามีคนจำนวนหนึ่งในที่นี้เรียกตัวเองว่าเป็นราชาแห่งยุค ไหนลองเสนอหน้ามาให้ข้าเห็นหน่อยเป็นไง?” เป่ยเสวียนหมิงกวาดสายตามองฝูงชนด้วยแววตาเย็นยะเยือกและใบหน้าเหยียดหยาม “ต่อหน้าเป่ยเสวียนหมิงผู้นี้ ใครยังกล้าเรียกตัวเองว่าราชา?”